- Details
- Category: ศาล
- Published: Tuesday, 03 February 2015 10:43
- Hits: 13734
คุก 5 ปีพี่สาวศรีรัศมิ์-แอบอ้างขายนํ้าพริก โฉ่อีกคดี หลานชาย ผิดม.112 ป.ลุยล่า!
พิพากษาจำคุก 5 ปี 'สุดาทิพย์ ม่วงนวล'พี่สาว ของ'ศรีรัศมิ์สุวะดี' ฐานหมิ่นเบื้องสูง ชี้ความผิดตามมาตรา 112 แอบอ้างขายน้ำพริก จาบจ้วงล่วงเกินสถาบัน ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ แต่รับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา รุดแจ้งจับอีกคดีหลานชายศรีรัศมิ์แอบอ้างสถาบัน ฉ้อโกงเรียกรับผลประโยชน์อ้างวิ่งเต้นช่วยเหลือคดียาเสพติดได้ สุดท้ายความแตก เหยื่อโร่กองปราบฯ ล่าตัวมาดำเนินคดี รรท.ผบก.ป.ส่งคอมมานโดลุยปูพรมตรวจค้นหลายจุดที่ราชบุรีวันนี้
คุก 5 ปี - จนท.คุมตัวนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล พี่สาว น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี ฟังคำพิพากษาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง แอบอ้างขายน้ำพริก ศาลอาญาตัดสินจำคุก 5 ปี แต่รับสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา เมื่อวันที่ 2 ก.พ. |
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 2 ก.พ. ที่ห้องเวรชี้ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสอบคำให้การคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขคดีดำ อ.100/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 49 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2558 สรุปความผิดจำเลยว่า ระหว่างปี 2545 ถึง 23 พฤศจิกายน 2557 ต่อเนื่องกันตลอดมา ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยซึ่งเป็นพี่สาว อดีตพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ฯ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้อาศัยความเป็นพระญาติจัดหาอาหารจำพวกน้ำพริก พร้อมเครื่องเคียงนำส่งกองกิจการในพระองค์ เพื่อพระราชทานเลี้ยงแก่ข้าราชบริพาร และจำเลยยังเป็นผู้กำหนดเมนูอาหารในลักษณะผูกขาดเองเสมอ โดยไม่ผ่านการประมูลตามขั้นตอนหลักเกณฑ์ตามปกติ อีกทั้งการใช้ถ้อยคำพูดแอบอ้างของจำเลย ยังเป็นการจาบจ้วง แอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความ ทำให้เสื่อมเสีย พระเกียรติยศ อันเป็นการหมิ่น ดูหมิ่น องค์รัชทายาท เหตุเกิดที่แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม.
หลังจากที่อัยการส่งฟ้องศาลได้นัดสอบคำให้การจำเลยเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2558 แต่จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2558 จำเลยขอกลับคำให้การใหม่ โดยยื่นเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรให้การรับสารภาพโดยดี ศาลจึงเบิกตัวจำเลยเพื่อมาสอบถามความจริงจากตัวจำเลยเอง
วันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนางสุดาทิพย์ ซึ่งสวมชุดนักโทษ สีส้มมาจากทัณฑสถานหญิงกลาง เข้ามาที่ห้องเวรชี้ ต่อมาศาลได้สอบถามจำเลยอีกครั้งว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธหรือไม่ ปรากฏว่าจำเลยยืนยันรับสารภาพตามเดิม ไม่ต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จริง พิพากษาจำคุก 5 ปี แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
เมื่อเวลา 11.00 น. วันเดียวกัน ที่บช.น. น.ส.พิมพิสา สุนทรพิพิธ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้แต่เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ พื้นที่ สน.คันนายาว ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. มีพล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผบก.น.2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.สหภัส กายขำสิทธิกุล ผกก.สน.คันนายาว และพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ควบคุมตัวสอบปากคำ
ภายหลังได้จับกุมนายชากานต์ ภาคภูมิ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาคดีความผิดตามมาตรา 112 แอบอ้างทวงหนี้และบังคับให้ลดหนี้พื้นที่ บก.น.5 เป็นสามีน.ส.พิมพิสา ได้ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ นำอาวุธปืน 3 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน ไปซุกซ่อนไว้ที่บ้านย่านรามอินทรา เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2557 และสำนวนคดีดังกล่าวได้ส่งพนักงานอัยการแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2557 ที่ผ่านมา โดยเป็นบ้านของผู้ต้องหาดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขออนุมัติศาลจังหวัดมีนบุรีออกหมายตรวจค้นบ้านตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2557 โดยไม่พบตัวน.ส.พิมพิสา แต่พบปลอกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มิลลิเมตร จำนวน 3 ปลอก ตั้งอยู่ภายในบ้าน จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.
พล.ต.ต.ก่อเกียรติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีต่อเนื่องกับคดีที่มีสามีของ ผู้ต้องหาดังกล่าวคือ นายชากานต์ ภาคภูมิ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหากระทำความผิดตามมาตรา 112 ภายหลังที่ได้จับกุมสามีแล้วนั้นได้ตรวจค้นบ้านของผู้ต้องหาพบของกลางเป็นอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนใช้ราชการสงคราม โดยที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ อยู่ในคดีดังกล่าว จึงได้ออกหมายจับ ภายหลังจึงได้เข้ามามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะ ผู้ต้องหาอยู่บ้านเดียวกับสามี โดยไม่ได้ถูกแจ้งข้อหาคดีที่มีความผิดตามมาตรา 112 เพียงถูกแจ้งข้อหาเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธสงครามเท่านั้น เบื้องต้นทางผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ของกลางทั้งหมดอยู่ในการครอบครองของสามีนำเอามาไว้ในบ้าน ตามกฎหมายถือว่าเจ้าของบ้านต้องร่วมรับผิดชอบ
สำหรับ นายชากานต์ นั้นเป็นผู้ต้องหาเครือข่ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. คดีแอบอ้างสถาบันกระทำความผิดตามมาตรา 112 ก่อเหตุกรรโชกทรัพย์ทวงหนี้ผู้เสียหายจำนวน 37 ล้านบาท สน.พระโขนง และบังคับลดหนี้ผู้เสียหาย 100 ล้านบาท สน.วัดพระยาไกร ร่วมกับตระกูลอัครพงศ์ปรีชาแอบอ้างสถาบันช่วยราชการเพื่อขอให้มีสิทธิ์สอบปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พื้นที่ สน.ลาดพร้าว และแอบอ้างสถาบันฮุบสัมปทานโรงน้ำแข็งที่ตลาดไท พื้นที่สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
เวลา 10.00 น.วันเดียวกัน ที่บก.ป. พ.ต.อ. อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รรท.ผกก.ปพ.บก.ป. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป.พร้อมคณะ แถลงข่าวกรณีที่นายบรรเทิง เนมีแสน อายุ 73 ปี เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษขอให้ตำรวจ บก.ป.ดำเนินคดีกับนายเอกชัย หรือเอฟ พลอยหิน ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง, ฉ้อโกง และเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นการตอบแทนหรือจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอัน ทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 341 และ 143
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า นายบรรเทิงได้เข้าพบตน เพื่อขอให้ตำรวจช่วยดูแลในเรื่องคดี สืบเนื่องจากเมื่อเดือนธันวาคม 2551 นายไพฑูรย์ เนมีแสน บุตรชายของนายบรรเทิง ถูกนายเอกชัยหลอกลวงว่าสามารถวิ่งเต้นช่วยเหลือนายไพฑูรย์ให้พ้นจากการถูกตำรวจ จ.ราชบุรี จับกุมดำเนินคดียาเสพติดได้ โดยแอบอ้างเบื้องสูง ก่อนจะเรียกรับเงินเป็นค่าดำเนินการจากนายบรรเทิง จำนวน 1.3 ล้านบาท ซึ่งนายบรรเทิงและลูกชายหลงเชื่อ จึงนำเงินที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิตนำไปส่งมอบให้นายเอกชัย ที่โรงแรมโกลเด้น ซิตี้ จ.ราชบุรี
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวต่อว่า หลังมีการรับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วนายเอกชัยก็ไม่สามารถช่วยเหลือให้นายไพฑูรย์รอดพ้นการถูกดำเนินคดียาเสพติดตามที่กล่าวอ้าง แต่ทางผู้เสียหายก็ไม่กล้าแจ้งความเอาผิด เนื่องจากเกรงกลัวอำนาจและบารมีของนายเอกชัย ต่อมาเมื่อทราบข่าวว่าครอบครัวตระกูลสุวะดีถูกตำรวจจับกุมจากการกระทำความผิดในหลายคดี จึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความในครั้งนี้
รรท.ผบก.ป.กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องตนได้มอบหมายให้ชุดสืบสวน กก.5 บก.ป.เร่งรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะขออนุมัติศาลออกหมายจับนายเอกชัย และติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ ในวันที่ 3 ก.พ. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ จะนำกำลังตำรวจคอมมานโด พนักงานสอบสวนลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ปูพรมตรวจค้นบ้านของนายเอกชัย เพื่อค้นหาสิ่งของผิดกฎหมายอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นคดีแรก จากทั้งหมด 7-8 คดี ที่จะจับกุมต่อเนื่องกัน
นายบรรเทิง บิดาของนายไพฑูรย์ เนมีแสน ให้การว่า เมื่อประมาณ พ.ศ.2550 น.ส.บุษกร หรือนก อุ่นใจ น้องสะใภ้ของตน ซึ่งเป็นภรรยาของนายไพฑูรย์ โทรศัพท์แจ้งมาว่านายไพฑูรย์ ถูกจับกุมคดียาเสพติดที่ สภ.จอมบึง จ.ราชบุรี ตนทราบเรื่องได้ไปเยี่ยมที่ศาลจังหวัดราชบุรี
จากนั้นน.ส.บุษกรโทรศัพท์แจ้งให้ทราบว่า นายสงกรานต์ แสนสุด ซึ่งเป็นพี่เขยของ น.ส. บุษกร รู้จักกับหลานของน.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นพระวรชายาฯ สามารถช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการถูกดำเนินคดีได้
หลังจากนั้นก็ได้มีการนัดหมายให้ตนไปพูดคุยกับนายสงกรานต์และพี่สาวน.ส.บุษกร ระหว่างพูดคุยกันนายสงกรานต์ยืนยันว่าถ้า จ่ายเงินนายไพฑูรย์จะหลุดคดีแน่นอน เพราะนายสงกรานต์รู้จักกับคนที่จะช่วยเหลือ ซึ่งตนก็เข้าใจดีว่าบุคคลดังกล่าวนั้นเป็นหลานของ น.ส.ศรีรัศมิ์ เชื่อโดยสนิทใจจึงตกลงที่จะหาเงินมาให้น.ส.บุษกร และนางกิ่งสอบถามตนว่ามีเงินเก็บอยู่เท่าไร ตนบอกว่ามีเงินเก็บอยู่จำนวน 1,300,000 บาท จึงให้ตนไปเบิกถอนเอามาทั้งหมด
ต่อมาได้มีการนัดหมายให้ตนนำเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้ผู้ที่จะช่วยเหลือ โดยนัดพบกันที่โรงแรมโกลเด้นท์ ซิตี้ จ.ราชบุรี ในวัน ดังกล่าว นางกิ่ง และสามี ขับรถมารับตนและภรรยาที่บ้านไปยังโรงแรม เมื่อไปถึงลูกเขยจอดรถที่บริเวณหน้าโรงแรมและพร้อมนางกิ่งเดินเข้าไปภายใน ส่วนตนและภรรยานั่งรออยู่ในรถ
ระหว่างนั้นก็มีรถยนต์คันหนึ่งจำไม่ได้ว่าเป็นหมายเลขทะเบียนอะไรมาจอดข้างๆ หลังจากนั้นก็มีชายหนุ่มอายุไม่เกิน 30 ปี แต่งกายภูมิฐานลงจากรถ โดยมีชายแต่งกายชุดทหารที่มาด้วยเปิดประตูรถให้แล้วเดินตามเข้าไปในโรงแรม ตนเชื่อว่าชายคนดังกล่าวน่าจะเป็นบุคคลที่จะมารับเงินเพื่อช่วยเหลือนายไพฑูรย์ น่าจะมีอำนาจบารมีสูง เพราะมีทหารมาคอยติดตามรับใช้
หลังจากที่ชายดังกล่าวเข้าไปภายในโรงแรมแล้ว ตนจึงมอบเงินสดจำนวน 1.3 ล้านบาท ซึ่งบรรจุอยู่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลให้นางกิ่งไป หลังจากนั้นประมาณ 30 นาที นางกิ่งกับพวกก็กลับมาที่รถแล้วเดินทางกลับบ้าน
หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือนเรื่องก็เงียบหายไป ตนสอบถามน.ส.บุษกรก็ได้รับแจ้งว่าผู้ที่รับเงินไปนั้นไม่สามารถช่วยเหลือนาย ไพฑูรย์ได้ ซึ่งต่อมาศาลก็ตัดสินลงโทษจำคุกนายไพทูรย์จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
วันที่ 03 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8833 ข่าวสดรายวัน