- Details
- Category: ศาล
- Published: Saturday, 03 January 2015 21:37
- Hits: 9822
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8799 ข่าวสดรายวัน
ศาลสั่งประหาร บอล-เบิ้ม ฆ่าชิงทรัพย์เอกยุทธ พยานหลักฐานมัดแน่น สารภาพ-คุกตลอดชีวิต พ่อแม่รับฝากเงิน-ทีมฝัง รวม 6 จำเลยโดนยกแก๊ง
ประหาร - นายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง และนายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร ถูกพิพากษาประหารชีวิตในคดีร่วมกันฆ่าชิงทรัพย์นายเอกยุทธ อัญชันบุตร แต่ได้รับการลดโทษเหลือจำคุก ตลอดชีวิต ที่ศาลอาญา รัชดาฯ เมื่อ 30 ธ.ค. |
พิพากษาแล้วคดีอุ้มฆ่าชิงทรัพย์ 'เอกยุทธ อัญชันบุตร'นักธุรกิจชื่อดัง ศาลตัดสินประหาร'บอล-เบิ้ม' ที่ร่วมก่อเหตุ ระบุพยานหลักฐานชัดเจนทำไปเพื่อต้องการทรัพย์สินหลายล้านบาท รวมทั้งบังคับให้เหยื่อเซ็นเช็คนำไปเบิกเงินด้วย แต่ระหว่างลงมือ เอกยุทธพยายามหลบหนีจึงถูกฆ่าตาย และนำศพไปฝังที่พัทลุง แต่สารภาพลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 คนที่ร่วมฝังศพโดนจำคุก เช่นเดียวกับพ่อแม่บอลที่เก็บเงินไว้โดนข้อหารับของโจรจำคุก 1 ปี 4 เดือน ลูกชายเอกยุทธพอใจผลคำตัดสิน ส่วนบอลยังยิ้มสู้ให้ทนายยื่นอุทธรณ์ทันที
ตัดสินคดีฆ่าชิงทรัพย์เอกยุทธ อัญชันบุตร เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.3307/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง อายุ 23 ปี, นายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร อายุ 28 ปี, นายชวลิต หรือเชาว์ วุ่นชุม อายุ 23 ปี, นายทิวากร หรือ ทิว เกื้อทอง อายุ 18 ปี, จ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง อายุ 51 ปี และนาง จิตอำไพ เพ็งด้วง อายุ 48 ปี บิดา-มารดานายสันติภาพ ทั้งหมดเป็นชาว จ.พัทลุง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่า ผู้อื่น, ร่วมกันปล้นทรัพย์, ร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ, ร่วมกันรับของโจร และข้อหาอื่นๆ รวม 8 ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 289, 309, 310, 340, 357 และ 371 ประกอบมาตรา 83 และพ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2492
ก่อนอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายสันติภาพ พร้อมด้วยจำเลยที่ 2-4 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนจำเลยที่ 5-6 ได้รับการประกันตัว โดยมีญาติๆ มาร่วมฟังและให้กำลังใจจำนวนมาก ขณะที่บุตรชายนายเอกยุทธ พร้อมด้วยญาติก็เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน
โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่าระหว่างวันที่ 6-9 มิ.ย. 2556 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโต้เมติก ขนาด .380 (9 ม.ม. KURZ) ทะเบียน กท.5203330 พร้อมเครื่องกระสุน และ อาวุธมีด ปล้นเอาทรัพย์สินของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร อายุ 59 ปี อดีตนักธุรกิจด้านอสังหา ริมทรัพย์ชื่อดัง รวม 9 รายการ มูลค่า 6.6 ล้านบาท โดยใช้อาวุธทำร้ายและหน่วงเหนี่ยวกักขังบังคับให้นายเอกยุทธออกเช็คเบิกถอนเงิน และใช้เชือกรัดคอจนนายเอกยุทธ ถึงแก่ความตาย
ก่อนนำศพไปไว้ในรถยนต์ตู้ ทะเบียน ฮพ 9304 นำศพไปฝังไว้ในไร่นาสวนผสมทิ้งร้าง อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปกปิดความผิด โดยมีจำเลยที่ 3-4 ช่วยขุดหลุมฝังศพ ส่วนจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บ เงินสดของผู้ตาย จำนวน 4,242,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำไปฝากไว้ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หน่วงเหนี่ยวกักขังปล้นทรัพย์ และปกปิดซ่อนเร้นศพเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหรือไม่ โจทก์มีพยานแวดล้อมหลายปากเบิกความสอดคล้องกันตั้งแต่ก่อนและหลังเกิดเหตุ ซึ่งสอดคล้องกับภาพจากกล้องวงจรปิดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถพาผู้ตายออกจากบริษัทไปกินข้าวที่ร้านครัวกระแต จากนั้นพาไปที่บ้านย่านทาวน์อินทาวน์ สนามบินสุวรรณภูมิ และแวะเติมน้ำมันที่วังมะนาว จ.เพชรบุรี
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นขั้นตอน การฆ่าของจำเลยที่ 1 และ 2 แต่มีพยานแวด ล้อมเบิกความเป็นลำดับขั้นตอน อีกทั้งมีพยาน เป็นพี่สาวของจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 มาหาที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อหาสถานที่ฝังศพจริง แต่เมื่อหาไม่ได้จึงพากันไปที่ จ.พัทลุง
ซึ่งในบันทึกการจับกุมจำเลยที่ 1 และ 2 ยังยอมรับว่านำตัวผู้ตายไปกักขัง โดยจำเลยมีอาวุธปืนสั้นและมีด ใช้ขู่บังคับให้ผู้ตายยอมเซ็นเช็คจ่ายเงิน 3 ฉบับ เป็นเงิน 5 ล้านบาท เมื่อ ได้รับเงินจากเลขาฯ ของนายเอกยุทธ ระหว่างเดินทางออกจากสุวรรณภูมิ นายเอกยุทธพยายามหลบหนีโดยกระโดดลงจากรถยนต์ จำเลยที่ 1 ติดตามมาทันและใช้มือรัดคอแล้วจับตัวกลับขึ้นมาในรถ ก่อนสั่งให้จำเลยที่ 2 ใช้เชือกผูกรองเท้ารัดคอนายเอกยุทธจนเสียชีวิต
ส่วนจำเลยที่ 2 ยอมรับว่า อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตลอดเวลา แต่ถูกจำเลยที่ 1 บังคับให้ร่วมกระทำความผิด เมื่อผู้ตายได้กระโดดหนีลงจากรถ ได้ตามทันและพามาที่รถให้จำเลยที่ 2 ใช้เชือกรัดคอสอดคล้องกับการตรวจหลักฐานที่พบเชือกชนิดเดียวกันในที่เกิดเหตุ เชื่อว่าเป็นเชือกที่จำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตาย หากจำเลยที่ 1 ได้ฆ่าผู้ตายก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุใดที่จำเลยที่ 2 จะรัดคอผู้ตายอีก คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่มีพยานรองรับ เป็นเพียงคำเบิกความลอยๆ เพราะจำเลยที่ 2 มีโอกาสหลบหนีแต่ก็ไม่หลบหนีและไม่ห้ามปรามจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1-2 ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ลักทรัพย์โดยประทุษร้าย ฆ่าโดยไตร่ ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิด
ส่วนจำเลยที่ 3-4 มีความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ จากการร่วมกันขุดหลุมฝังศพนายเอกยุทธที่เขาจิงโจ้
สำหรับ ประเด็นที่จำเลยที่ 5-6 ร่วมกันรับของโจรหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 5 ให้การยอมรับว่าจำเลยที่ 1 นำเงิน 5 ล้านบาทมามอบให้โดยอ้างว่าเป็นเงินที่ได้จากการเล่นพนันฟุตบอล จำเลยที่ 5 และ 6 จึงนำเงินแบ่งเป็น 2 ส่วน ไปขุดหลุมฝังดินไว้ที่บ้านญาติ แต่ไม่นำเงินไปฝากธนาคารเพราะตรงกับวันเสาร์ที่ธนาคารปิดทำการ ศาลจึงไม่เชื่อในคำให้การเพราะข้ออ้างจำเลยมีพิรุธ ปัจจุบันหลายธนาคาร เปิดทำการตามห้างสรรพสินค้า เชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการลักทรัพย์ หากเก็บไว้กับตัวหรือบ้านจะถูกติดตามจับกุมได้ ความผิดฐานรับของโจรจึงสำเร็จตั้งแต่รับเงิน 5 ล้านจากจำเลยที่ 1
พิพากษาจำเลยที่ 1-2 ผิดฐานฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาพอเป็น ประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 3 ผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนและฐานซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 13 เดือน และให้รวมโทษที่รอการลงอาญาไว้ในคดีเดิมอีก 6 เดือน รวมเป็น 19 เดือน จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 5-6 ผิดฐานรับของโจร แต่รับสารภาพและช่วยติดตามนำเงินมาคืนจำนวน 4.4 ล้านบาท พิพากษาจำคุก 1 ปี 4 เดือน และให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1.9 ล้านบาท ให้กับทายาทของผู้เสียชีวิตด้วย
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสันติภาพ หรือบอล กล่าวว่า จะปรึกษาทนายความเพื่อยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป โดยนายสันติภาพมีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ขณะที่ลูกชายของนายเอกยุทธกล่าวว่า พอใจกับคำตัดสิน หลังจากนี้จะหารือกับทนายความว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่ และขอบคุณสื่อมวลชนที่ติดตามและให้ความสนใจกับคดีมาโดยตลอด