- Details
- Category: คอรัปชั่น
- Published: Thursday, 30 March 2023 14:50
- Hits: 1870
ชูวิทย์ จะขยับยังไง?....เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้วสำหรับวาระ/การเปิดประเด็นที่เจ้าของฉายาจอมแฉเมืองไทย’ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’นำมาเปิดโปง โดยต้องยอมรับว่า บางเรื่องราวนั้น ชูวิทย์ขยับจนได้ผล เช่น ทุนจีนสีเทา,บ่อนพนัน,ตำรวจบางนายที่ทุจริต
แต่บางวาระที่ชูวิทย์ ขยับ อาทิ การแฉกรรมการปปช.บางคนโดยไร้หลักฐาน,การทุจริตโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ,พรรคและนักการเมืองของบางพรรคมีข้อครหาที่น่าสงสัย หรือล่าสุดการปะทะกับสันธนะ ประยูรรัตน์ และษิทรา เบี้ยบังเกิดเรื่องเงิน 6 ล้านบาทของสารวัตรซัวที่มีอดีตพล.ต.ต.และพ.ต.ท.ในปัจจุบันเข้ามาพัวพัน และสร้างประเด็นดราม่าได้แทบทุกวินาที
และตอนนี้เริ่มปรากฏ’ความจริงที่ซ่อนไว้’ของจอมแฉเมืองไทยว่ามีเงื่อนงำใดในแต่ละเรื่องที่ชูวิทย์งขยับ’บ้าง...
อย่างน้อยตอนนี้ ประเด็นหนึ่งที่ชูวิทย์ปูด และปั่นกระแสขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อนคือการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น ตอนนี้ชัดแล้วว่า ช่วงเช้าวันที่ 30 มี.ค.2566 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเป็นให้ยกฟ้องในคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) จากกรณีมีมติในคราวประชุม เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 ที่เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ลงวันที่ 3 ก.ค. 2563 และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าว
โดยศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า มติของคณะกรรมการคัดเลือกตามการประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 3ก.พ.2564 ที่เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ลงวันที่ 3 ก.พ. 2563 และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าว
และเพิกถอนประกาศของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เรื่อง ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนตามประกาศเชิญชวนดังกล่าว ลงวันที่.3 ก.พ. 2563 สามารถทำได้
เพราะการกระทำดังกล่าวไม่เป็นการเอื้อต่อเอกชนรายใดเป็นการเฉพาะ ไม่ได้กระทำตามอำเภอใจ และผู้ถูกฟ้องทั้งสองดำเนินการโดยยึดเป้าประสงค์ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐเอกชน 2562 จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตไม่เลือกปฏิบัติ และชอบด้วยกฎหมาย
เท่ากับว่า การเขย่าประเด็นนี้ ของ’ชูวิทย์"ที่เคยออกมาแฉในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า มีความไม่ชอบมาพากลอยู่หลายจุดที่ส่อแววทุจริตสำหรับโครงการนี้ และเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยในวันนี้นั้น .ทุกอย่างควรยุติ.และเดินหน้าโครงการนี้ที่ล่าช้ามาหลายปี
และควรตั้งข้อสังเกตดีๆว่า ที่ผ่านมาจอมแฉถือ ‘ข้อมูลทิพย์หรือไม่...’กับออกมาขยับลีลาในกรณีนี้จนเกิดความสับสนไปทั่วทุกวงการ เพราะผลการประมูลรอบที่ 2 ออกมาแล้วว่า BEM คือผู้ชนะ แต่ตอนนั้นชูวิทย์ปั่นกระแสว่า การให้เอกชนที่คุณสมบัติขัดแย้งกับกฎหมายผ่านการพิจารณา ,เงินส่วนต่างถึง 6.8 หมื่นล้านบาทที่ต้องเสียผลประโยชน์ไปหากเทียบกับการประมูลครั้งแรก(ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เพราะไม่มีการประมูลในครั้งนั้น)และเป็นตัวเลขที่ชูวิทย์ อ้างตัวเลขของเอกชนที่ยื่นซองประมูลครั้งแรกเสนอราคาที่รัฐต้องสนับสนุนถูกกว่าว่าสิบเท่า ตัวเลขนั้นมาจากไหนเมื่อมันไม่มีการประมูล,การอ้างว่าโครงการนี้มีเงินทอน 3 หมื่นล้านบาทไว้ให้บางพรรค
รวมทั้งปูดว่า มีบัญชีธนาคาร HSBC ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นของผู้ใด บัญชีเลขที่ อะไร และมีชื่อผู้ใดเป็นผู้โอนเงิน โดยจอมแฉเมืองไทย อ้างว่า ข้อมูลเหล่านี้ ยื่นให้นายกรัฐมนตรีไปตรวจสอบแล้ว
แถมยังเฉไฉไปเรื่อยว่า ‘ข้อมูลเหล่านี้ โดยเฉพาะเงินทอนนั้น ยังไม่มีการจ่ายเพราะโครงการยังไม่เริ่ม ใครจะจ่ายก่อน’
หากให้ประเมินแล้วราคาของจอมแฉเมืองไทย ในตอนนี้ ลดลงไปหลายดีกรี"เพราะเมื่อศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยประเด็นที่ชูวิทย์ปั่นกระแสแล้วว่า'ยกฟ้อง' บวกกับการรับเงินสีเทา6ล้านบาทจากทีมงานสารวัตรซัวโดยนำไปมอบให้สองโรงพยาบาล(ศิริราช และธรรมศาสตร์)จนมีการส่งคืนเงินดังกล่าวให้ชูวิทย์แล้ว และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรับเงินก้อนนี้ไว้เป็นของกลาง โดยจะเรียกจอมแฉเมืองไทย,ทนายตั้มและสันธนะมาให้ข้อมูลที่แท้จริง
แต่ที่ชัดเจนชั้นหนึ่งคือเงินของสารวัตรซัวที่มอบให้ชูวิทย์นั้นจอมแฉยอมรับว่า เป็นเงินของสารวัตรซัวเพื่อขอให้ยุติการโจมตีบ่อนออนไลน์ เท่ากับว่าชูวิทย์ยอมรับว่าเป็นเงินผิดกฎหมายที่รับมา แม้จะอ้างว่าเอาไปบริจาคแล้วก็ตาม
ตรงนี้ คือ การยอมรับของจอมแฉเมืองไทยด้วยตัวเองว่ารับเงินสีเทาและต้องไล่เบี้ยว่ามีความผิดอาญาฐานฟอกเงินตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือไม่
ผนวกกับการลุยผุด '10th Avenue'บนที่ดินสวนชูวิทย์ จำนวนหกไร่ ปากซอยสุขุมวิท 10 ที่ชูวิทย์ แจ้งว่ายกให้เป็นสาธารณะประโยชน์ชั่วคราวในช่วงที่มีการต่อสู้คดีรื้อบาร์เบียร์ โดยเวลา 12 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่บริเวณนี้เลย และจนถึงขณะนี้ ที่ดินยังเป็นของชูวิทย์ มีหลักฐานการเสียภาษีชัดเจน ซึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม-กันยายน 2565 เพิ่งชำระภาษีที่ดินไปเป็นเงินกว่า 2,250,000 บาท ซึ่งยังเป็นข้อกังหาว่า การยกที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น
การอุทิศที่ดินให้ใช้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน อาจกระทำโดยแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยาย ที่ดินนั้นย่อมตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันทีที่แสดงเจตนาอุทิศ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304 ไม่จำต้องจดทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องแสดงเจตนารับและมีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาไว้หลายคดีเป็นบรรทัดฐาน
เมื่อประมวลหลากเส้นทางที่ชูวิทย์ เผชิญอยู่ในตอนนี้คล้ายว่า เส้นทางของจอมแฉเมืองไทย เริ่มเข้าสู่มุมอับตีบตันไปเรื่อยๆ…