- Details
- Category: DSI
- Published: Saturday, 31 August 2019 11:12
- Hits: 3847
DSI เตือน ปชช.ระวังกลุ่มมิจฉาชีพ ถูกหลอกลงทุน digital currency แชร์ลูกโซ่ คริปโต-อาบิทราจด้วย AI
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการร่วมลงทุนทำธุรกิจดังกล่าว โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า เงินสกุลดิจิทัล (digital currency) ไม่ใช่สื่อกลางการชำระเงินตามกฎหมายคณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุ ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประกาศอนุญาตให้ 7 สกุลเงินดิจิทัล ใช้ในการซื้อขาย ประกอบด้วย เงินสกุล Bitcoin, Bitcoin Cash, Ethereum, Ethereum Classic, Litecoin, Ripple และ Stellar โดย ก.ล.ต. ได้ประกาศรายชื่อบริษัทผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 4 บริษัท โดยแบ่งเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 3 ราย ได้แก่1. บริษัท บิทคอยน์ จำกัด ( BX) www.bx.in.th2. บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ( BITKUB) www.bitkub.com3. บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ( Satang Pro) www.satang.pro
นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าและผู้ค้า (Broker/Dealer) จำนวน 1 ราย ได้แก่ บริษัทคอยส์ ทีเอช จำกัด (Coins TH) www.coins.co.thสำหรับวิธีการในการซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลนั้น ผู้จะทำการซื้อขายต้องสมัครสมาชิกตามที่เว็บไซต์ข้างต้นกำหนดไว้ โดยจะต้องลงทะเบียนระบุตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนและสมุดบัญชีเงินฝาก ที่จะใช้ในการทำธุรกรรมซื้อขายเงินดิจิทัล ซึ่งเว็บไซต์ข้างต้นจะทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวกลางในการซื้อขายเงินดิจิทัลของสมาชิก อันมีลักษณะเหมือนการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งราคาซื้อขายจะขึ้นลงตามปัจจัยในตลาดโลกและมีความผันผวนคล้ายกับหลักการของการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ราคาซื้อขายในแต่ละครั้งไม่สามารถกำหนดชัดเจนตายตัวได้ ซึ่งนักเก็งกำไรจะให้ความสนใจในการซื้อขายในระยะสั้นหรือระยะยาวแตกต่างกันไปเมื่อกระแสการซื้อขายเงินดิจิตอลกำลังได้รับความนิยมจากนักลงทุน
กลุ่มมิจฉาชีพ จึงได้คิดอุบายในการหลอกลวงทรัพย์สินจากผู้ที่หลงเชื่อและไม่มีความรู้เพียงพอ โดยมีการจัดทำเว็บไซต์ต่างๆ ขึ้นมา กล่าวอ้างว่าเป็นเว็บไซต์ที่ดำเนินการโดย นิติบุคคลหรือ บุคคลต่างชาติ มีวัตถุประสงค์ในทางการค้าเงินดิจิทัลด้วยวิธี Arbitrage (อาร์บิทราจ) เป็นการทำกำไรจากผลต่างของราคาสินค้าชนิดเดียวกันในสองตลาดโดยกล่าวอ้างว่าใช้ผู้ช่วยในการดำเนินการที่เรียกว่า Artificial Intelligence (AI) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนและพัฒนาให้มีความฉลาด มีความสามารถคิด วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้ โดยการประมวลผลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มากไปกว่านั้นยังสามารถดัดแปลงการประมวลผล ประยุกต์ ให้เป็นไปตามสถานการณ์ต่างๆ และถูกกำหนดมาให้ทำการซื้อเหรียญดิจิทัลในตลาดที่มีราคาต่ำ แล้วนำไปขายในตลาดที่มีราคาสูงกว่าเพื่อทำกำไร ซึ่งเรียกว่าการ "เทรด ด้วย AI" และเสนอว่าหากผู้ลงทุนสนใจลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 2 % ต่อวัน จากยอดลงทุน เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงเพราะดำเนินการด้วย AI ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำการเทรดให้ได้กำไรเท่านั้น
ในประเทศไทยพบการชักชวนให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าวนี้อยู่หลายเว็บไซต์ ก.ล.ต.จึงได้มีประกาศเตือน เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2562 ฉบับที่ 66/2562 เตือนกรณี FX Trading Corporation ที่พบการชักชวนให้ผู้ลงทุนเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท โดยอ้างว่า ใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งสามารถทำกำไรจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลให้กับผู้ลงทุนได้เป็นรายวัน รวมทั้งจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหากสามารถชักชวนบุคคลอื่นให้เข้ามาลงทุนในเครือข่ายเพิ่มอีกได้ โดย ก.ล.ต.แจ้งว่า FX Trading Corporation มิได้อยู่ในรายชื่อผู้ที่ได้รับอนุญาตหรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.แต่อย่างใด ทั้งนี้ ก.ล.ต.ยังได้ย้ำว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม นอกจากกรณี FX Trading Corporation ยังพบว่ามีการดำเนินการของเว็บไซต์อื่นๆ ที่คล้ายกันอีกหลายเว็บไซต์การสืบสวนสอบสวนกรณีที่พบว่าเป็นการชักชวนให้ลงทุนข้างต้นนี้ซึ่งมีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ เป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนเพราะแชร์ลูกโซ่ที่เกี่ยวกับเงินดิจิทัลที่กล่าวมานี้ กล่าวอ้างว่าเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ เว็บไซต์ที่ดำเนินการเป็นเว็บไซต์ต่างประเทศ การลงทุนนั้น ผู้ลงทุนต้องดำเนินการหาซื้อเหรียญดิจิทัลที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศของไทย จากนั้นนำเหรียญดิจิทัลโอนไปยังเว็บไซต์ที่เปิดรับการลงทุน
เมื่อจะมีการปันผล เว็บไซต์ดังกล่าวจะปันผลกลับมาเป็นเงินสกุลต่างประเทศ อาทิ เงินดอลลาร์สหรัฐ หากผู้ลงทุนต้องการที่จะเบิกเงินปันผลดังกล่าวออกมา ต้องนำเงินสกุลต่างประเทศที่ได้รับ ไปแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญดิจิทัลด้วยวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย อาทิ กับบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ กลต.รับรองที่กล่าวมาข้างต้น แล้วจึงจะเปลี่ยนเป็นเงินไทยเข้าบัญชีธนาคารผู้ลงทุน ทำให้ไม่พบกระแสเงินลงทุนไปยังบัญชีบุคคลที่ชักชวนโดยตรง
และเนื่องจากเป็นการกระทำโดยเว็บไซต์ที่อยู่ต่างประเทศ ถือว่าการกระทำความผิดส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร อันเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ หรือจะมอบหมายให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทน ซึ่งที่ผ่านมา การสอบสวนคดีพิเศษที่เกี่ยวกับความผิดนอกราชอาณาจักรจะต้องประสานความร่วมมือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดและหน่วยงานในต่างประเทศ ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการดำเนินการที่ต้องใช้เวลาพอสมควร
บางคดีอาจใช้เวลาหลายปีถึงจะได้ข้อมูลที่ใช้เป็นพยานหลักฐานได้กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการร่วมลงทุนทำธุรกิจดังกล่าว โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า เงินสกุลดิจิทัล (digital currency) ไม่ใช่สื่อกลางการชำระเงินตามกฎหมาย ไม่มีระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับการรับรองทางกฎหมาย และหากเกิดปัญหาความเสียหายขึ้น อาจจะมีความยากลำบากในการได้เงินคืน ทั้งนี้ ประชาชนผู้เสียหายสามารถแจ้งข้อมูล/เบาะแสได้ที่เว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือติดต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ที่กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ โทร. 0 2142 2831 หรือ สายด่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ โทร. 1202 โทร.ฟรีทั่วประเทศ
อนึ่ง สำนักงาน ก.ล.ต.อนุมัติใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange)ให้ บริษัท หั่วปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นรายที่ 5 ต่อจาก Bitkub,Bx,SatangPro และ BiTherb พร้อมกับอนุมัติใบอนุญาตนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) เพิ่มอีก 1 ราย ‘บริษัท บิทาซซ่า จำกัด’
เว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่รายชื่อ ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่ได้รับใบอนุญาตเพิ่มอีก 1 ราย คือ บริษัท หั่วปี้ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Huobi ส่งผลให้ ปัจจุบัน มีผู้ประกอบธุรกิจ Exchange ในไทย 5 รายที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.ได้แก่ Bitkub,Bx,SatangPro,BiTherb และ Huobi
นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังได้เผยแพร่รายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) เพิ่มเติมอีก 1 รายคือ บริษัท บิทาซซ่า จำกัด หรือ Bitazza ส่งผลให้ ปัจจุบันประเทศไทยมี
มีผู้ประกอบธุรกิจ Broker ที่ได้ใบอนุญาตรวม 3 ราย ได้แก่ CoinsTH, BiTherb และ Bitazza
อย่างไรก็ตาม รายล่าสุดทั้ง Huobi และ Bitazza ยังไม่ได้เริ่มประกอบธุรกิจ ซึ่งโดยปกติภายหลังการอนุมัติแล้ว ก.ล.ต.จะมีเวลาให้อีก 180 วัน ในการเตรียมระบบเพื่อให้ ก.ล.ต. เข้าตรวจสอบ ก่อนเปิดให้บริการจริง เช่นเดียวกับ BiTherb ที่ได้ใบอนุญาตแล้ว แต่ก็ยังอยู่ระหว่างการเตรียมระบบเช่นกัน
ส่วนผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) ปัจจุบันยังมีเพียง 1 ราย คือ บริษัท คอยส์ ทีเอช จำกัด (Coins TH)
ICO Portal ปัจจุบันมี 3 ราย ได้แก่ 1.บริษัท ลองรูท (ประเทศไทย) จำกัด 2.บริษัท ที-บ็อกซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด และ 3.บริษัท เอสอี ดิจิทัล จำกัด
ก.ล.ต.ไฟเขียวศูนย์ซื้อขายคริปโตอีก 1 ราย คือ ‘บริษัท บิเธิร์บ จำกัด’ ส่งผลให้ล่าสุดมีผู้ที่ทำแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ได้ใบอนุญาตรวม 4 ราย ได้แก่ Bitkub,Bx,SatangPro และ BiTherb
เว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่รายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) เพิ่มเติมอีก 1 ราย คือ บริษัท บิเธิร์บ จำกัด (BiTherb) ภายใต้เว็บไซต์ bitherb.net เพื่อให้บริการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบิเธิร์บ ยังไม่ได้เริ่มประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
นอกจากนี้ BiTherb ยังได้รับใบอนุญาตผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) อีกด้วย
ทั้งนี้ เมื่อรวมกับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนหน้านั้น 3 ราย ส่งผลให้ปัจจุบัน มีผู้ที่ได้ใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายฯ จำนวนทั้งสิ้น 4 ราย ได้แก่ 1.บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (bitkub.com) 2.บริษัท บิทคอยน์ จำกัด (bx.in.th) 3. บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (satang.pro)และ 4.บริษัท บิเธิร์บ จำกัด (bitherb.net)
ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนหน้านั้นมี 1 ราย รวมแล้วล่าสุดมี 2 ราย ได้แก่ 1.บริษัท คอยส์ ทีเอช จำกัด (coins.co.th)และ 2.บริษัท บิเธิร์บ จำกัด (bitherb.net)
ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Dealer) ปัจจุบันยังมีแค่ 1 ราย ได้แก่ บริษัท คอยส์ ทีเอช จำกัด (coins.co.th)
ส่วนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ICO Portal ปัจจุบันมี 3 ราย 1.บริษัท ลองรูท (ประเทศไทย) จำกัด (Longroot) 2.บริษัท ที-บ็อกซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด (T-BOX) และ 3.บริษัท เอสอี ดิจิทัล จำกัด (SE Digital) โดย Longroot ได้รับความเห็นชอบเป็น ICO Portal แต่ยังไม่เริ่มประกอบธุรกิจ ส่วน T-BOX และ SE Digital ได้รับความเห็นชอบเป็น ICO Portal แบบมีเงื่อนไข อยู่ระหว่างเตรียมระบบให้ ก.ล.ต. เข้าตรวจ
Click Donate Support Web