- Details
- Category: อาชญากรรม
- Published: Monday, 15 December 2014 07:11
- Hits: 6746
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8780 ข่าวสดรายวัน
สุดาทิพย์ นอนคุก รับสิ้นไส้ แอบอ้าง-ส่ง 2 วัง วางตัวเป็น'พระญาติ'ทำธุรกิจเครื่องเสวย น้องเสี่ยโจ้โร่พบตร. โวยพี่ถูก'พตอ.'แกล้ง
ฝากขัง - ตำรวจคุมตัวนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้ต้องหาคดี 112 หลานพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ไปฝากขังผัดแรกที่ศาลอาญารัชดาฯ โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง เมื่อ วันที่ 11 ธ.ค. |
"สุดาทิพย์"สารภาพสิ้น แอบอ้างเป็นพระญาติทำเครื่องเสวยส่งวังศุโขทัยกับพระที่นั่งอัมพรสถาน ตร.ส่งฝากขังศาลไม่ให้ประกันตัว ราชทัณฑ์คุมเข้าเรือนจำทันที น้องชาย"เสี่ยโจ้"โร่พบผบช.น. ร้องขอความเป็นธรรม ยันพี่ชายบริสุทธิ์ แต่ไม่รู้ตอนนี้อยู่ที่ไหน โต้แทนพี่ไม่เกี่ยวน้ำมันเถื่อนเครือข่าย"บิ๊กกิ๊ก-พงศ์พัฒน์" แต่ถูกพ.ต.อ.กลั่นแกล้งจับโยงทั้งน้ำมันเถื่อนและไฟใต้ อ้าง พี่ชายตอนนี้เป็นหนี้ถึง 400 ล้าน ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูส่งเสียใครแน่ วอนปรากฏตัวเพราะแม่กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ขยายผลจับ"สุดาทิพย์"ญาติบิ๊กกิ๊ก
จากกรณีนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 48 ปี พี่สาวของนายณรงค์ และณัฐพล (อัครพงศ์ปรีชา) สุวะดี ผู้ต้องหาคดีอุ้มเจ้าหนี้ไปข่มขู่ลดหนี้และทวงหนี้ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ และเป็นหลานสาวของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. ผู้ต้องหารายล่าสุด ที่ถูกชุดสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล จับกุมตามความผิดมาตรา 112 เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากนางสุดาทิพย์ ทำธุรกิจใช้ชื่อ คณะบุคคลปณสุ และคณะบุคคลน้ำทิพย์ ตั้งอยู่เลขที่ 2/3 หมู่ 9 ถนนทวีวัฒนา แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม. แอบอ้างเบื้องสูงจนได้การประมูลธุรกิจทำเครื่องเสวย และครัวข้าราชบริพาร คณะบุคคลปณสุ ขายผักสด และผักลวก และคณะบุคคลน้ำทิพย์ ขายน้ำพริกต่างๆ ส่งวังศุโขทัยและพระที่นั่งอัมพรสถาน
โดยนางสุดาทิพย์ ร่วมกับน.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร ซึ่งอยู่ระหว่างติดตามตัวมา สอบสวน ร่วมกันทำกิจการดังกล่าวตั้งแต่ ปี 2545 จากการสอบสวนนางสุดาทิพย์รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ถูกควบคุมตัวไว้ที่สน.บางเสาธง มีอาการเคร่งเครียดอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ต้องให้แพทย์ตรวจร่างกาย และให้ยาคลายเครียด ทั้งนี้จากการขยายผลเครือข่ายธุรกิจของนางสุดาทิพย์ กับพวก ทราบว่านางสุดาทิพย์เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ 4 แห่ง ได้แก่ คณะบุคคลปณสุ คณะบุคคลน้ำทิพย์ สวนผึ้งรีสอร์ท จ.ราชบุรี และบริษัท ศิรินทิพย์ 2007 (อัครพงศ์ปรีชา) ตั้งอยู่เลขที่ 999 ชั้น 4 คอนคอร์สเอฟ บางพลี จ.สมุทรปราการ เช่าพื้นที่ บริษัท คิงเพาเวอร์ สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดร้านคาเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิ ขายกาแฟและเค้ก ธุรกิจทั้ง 4 แห่ง มีรายได้รวมเดือนละประมาณ 6 ล้านบาท ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ยังไม่ออกหมายจับเพิ่ม
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับผู้ใดเพิ่ม อยู่ระหว่างการสอบสวน หลักฐานถึงใครต้องดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับน.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร ญาติและผู้ร่วมทำธุรกิจกับนางสุดาทิพย์นั้น อยู่ระหว่างติดตามตัวมาสอบปากคำ รวมทั้งขยายผลตรวจสอบร้านคาเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิ และสวนผึ้ง รีสอร์ท ว่ามีความเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดหรือไม่ ทั้งนี้ร้านคาเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิ มีผู้ร่วมทำธุรกิจรวม 7 คน ส่วนสามีและเครือญาติของนางสุดาทิพย์ พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวมาสอบปากคำ
ฝากขัง"สุดาทิพย์"-ไม่ได้ประกัน
เวลา 10.30 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนสน.สามเสน นำน.ส.สุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/3 ซ.ทวีวัฒนา 49 ต.ศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. ภรรยาพ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล อดีตผกก.ตม.สมุทรสาคร และเป็นหลานสาวของอดีตผบช.ก. ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ยื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรก
คำร้องสรุปว่า ระหว่างปี 2545 ถึงวันที่ 23 พ.ย. 2557 ต่อเนื่องกัน น.ส.สุดาทิพย์ อาศัยความเป็นพระญาติในสถาบันเบื้องสูง จัดหาอาหาร น้ำพริก พร้อมเครื่องเคียง เช่น ผักสด ผักลวกต่างๆ นำส่งวังศุโขทัย หาก มีร้านค้าอื่นๆ ประสงค์เข้ามาประมูลราคา ผู้ต้องหาจะแอบอ้างตนเองเป็นพระญาติว่ามีคำสั่งให้เป็นผู้จัดหาอาหารแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นลักษณะแอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กองกิจการ ในพระองค์ฯ จึงมอบอำนาจให้พล.อ.ต.วีระพันธ์ ภูวจินดา ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.สามเสน ให้ดำเนินคดีน.ส.สุดาทิพย์ ม่วงนวล กับพวก
น้องเสี่ยโจ้ - นายณรงค์กรณ์ เจียรเสริมสิน น้องชายนายสหชัย หรือเสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาหนีคดีส่วยน้ำมันเถื่อน และเป็นเครือข่ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เดินทางร้องขอความเป็นธรรมกับพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. |
ส่งตัวเข้าเรือนจำทันที
ต่อมาญาติของน.ส.สุดาทิพย์ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดมีอัตราโทษสูง อีกทั้งผู้ต้องหาถูกจับตามหมายจับ หากปล่อยชั่วคราวอาจหลบหนี จึงไม่อนุญาต ให้ปล่อยชั่วคราว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำน.ส.สุดาทิพย์ ไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขน ทันที
มุดคุกสอบเพิ่มอดีตผบก.ตำรวจน้ำ
ต่อมาเวลา 10.00 น. พนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) นำโดยพ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รองผบก.น.2 เข้าสอบปากคำ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผบก.ตำรวจน้ำ ผู้ต้องหาตามความผิดมาตรา 112, เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะ รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ (ป.อาญา ม.149), เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบ (ป.อาญา ม.157) และความผิดพ.ร.บ. ฟอกเงิน ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ อดีตผบช.ก. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
เค้นข้อมูลส่วยน้ำมันเถื่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า พนักงานสอบสวนสอบปากคำพล.ต.ต.บุญสืบ เพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับส่วยน้ำมันเถื่อนของนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ อายุ 46 ปี เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เลขที่ 103/49 ถนนนาเกลือ หมู่ 8 ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อนภาคใต้ ซึ่งหลบหนีคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี ตัดสินจำคุก 1 ปี 9 เดือน ฐานปลอมแปลงเอกสารราชการและดวงตราประทับ เข้าเมือง เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ พล.ต.ต.บุญสืบเกี่ยวกับความเชื่อมโยงพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผบช.ก. เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อที่ระบุในโพยส่วยน้ำมันเถื่อนว่าเกี่ยวข้องตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐรายใดอีกหรือไม่
น้อง"เสี่ยโจ้"บุกร้องผบช.น.
ต่อมาเวลา 13.00 น. ที่บช.น. นายณรงค์กรณ์ หรือโจ เจียรเสริมสิน อายุ 41 ปี น้องชายนายสหชัย หรือเสี่ยโจ้ เข้ามอบหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับพล.ต.ท.ศรีวราห์ ผบช.น. จากนั้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเพื่อใช้ประกอบคดี
ยันพี่ชายบริสุทธิ์-ถูกกลั่นแกล้ง
นายณรงค์กรณ์เปิดเผยว่า วันนี้มาร้องขอความเป็นธรรมให้กับนายสหชัย พี่ชาย เพราะข้อมูลตามที่ตกเป็นข่าวไม่ทราบว่าได้มาอย่างไร ตนเชื่อว่าพี่ชายบริสุทธิ์ และอยากชี้แจงข้อเท็จจริง โดยมอบหลักฐานการโอนเงินต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ส่วนข้อมูลในหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ระบุถึงข้อมูลระหว่างลงพื้นที่จ.ปัตตานี พบเอกสารการโอนเงินของนายตำรวจยศพ.ต.อ.ที่ได้รับคำสั่งให้ช่วยราชการ ตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อเห็นเอกสารดังกล่าวจึงนำมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งตนไม่เคยเจอหน้าตำรวจนายนี้ และไม่ทราบว่านายสหชัยรู้จักหรือไม่ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่จะรู้ว่าตำรวจนายนี้มีลักษณะทำตัวเป็นมาเฟีย โดยข่มขู่ชาวเรือประมงเพื่อหาผลประโยชน์
รับมอบ - เจ้าหน้าที่ปปง. รับมอบวัตถุโบราณ และโฉนดที่ดิน 136 รายการ ที่เป็นของกลางในคดีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. มาดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด ที่ร.1 พัน.2 รอ. แจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. |
น้องชายเสี่ยโจ้ เปิดเผยอีกว่า ขณะนี้ ไม่ทราบว่าพี่ชายหายตัวไปไหน เพราะตั้งแต่วันที่พี่ชายหายตัวไปยังไม่สามารถติดต่อ ได้เลย ถ้าสื่อถึงได้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือศพ ขอให้พี่ชายปรากฏตัวให้คนทางบ้านได้เห็น เพราะทุกวันนี้แม่ที่อายุมากแล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ไม่เกี่ยวไฟใต้-ไม่รู้ตอนนี้อยู่ไหน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีฝ่ายความมั่นคงพบข้อมูลว่านายสหชัยพัวพันกับกลุ่มก่อความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ น้องชาย เสี่ยโจ้กล่าวว่า เราเป็นชาวไทยพุทธ มีพระสยามเทวาธิราช มีข้าราชการดีๆ อยู่เยอะ คงไม่ทำอะไรตามที่เป็นข่าว ส่วนธุรกิจของพี่ชายนั้น จริงๆ แล้วถูกฟ้องล้มละลายเป็นหนี้กว่า 400 ล้านบาท ไม่มีธุรกิจอยู่แล้ว ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนายหน้าจับตรงนั้น ลงตรงนี้นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้มากมายเหมือนที่เป็นข่าว บ้านเราไม่ได้มีเงินขนาดส่งเสียเลี้ยงดูใคร และไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดไปได้ถึงเพียงนี้
เมื่อถามว่าทำไมพี่ชายไม่ออกมาสู้คดี น้องชายเสี่ยโจ้กล่าวว่า คดีที่เกิดขึ้นเป็นคดีของตรายางของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้ยังไม่สามารถติดต่อพี่ชายได้ จึงไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องเก็บตรายางดังกล่าวไว้ ไม่รู้ว่าเก็บไว้ทำไม เพราะทำธุรกิจไม้ อาชีพขายไม้ ถ้าปลอมตรายาง ปลอมตรายางป่าไม้ไม่ดีกว่าหรือ ส่วนที่ถามว่าถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ ขอให้เป็นดุลยพินิจของทุกๆ คนดีกว่า ยังไม่ทราบว่าพี่ชายหนีออกไปนอกประเทศหรือไม่ ฝากสื่อไปยังพี่ชายด้วย
ต่อข้อถามว่าถ้าเสี่ยโจ้ไม่ได้ทำผิด ทำไมศาลตัดสินจำคุก น้องชายเสี่ยโจ้ กล่าวว่า อ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงจากขบวนการ ที่ขอเรียกรับผลประโยชน์ เมื่อไม่จ่ายก็บิดเบือนเอกสารหลักฐาน รายงานเสนอต่อเจ้านาย ตั้งเป็นโครงสร้างขึ้นมา เหมือนเป็นผู้สนับสนุนโจรใต้ ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ชีวิตที่ผ่านมาประกอบอาชีพสุจริตมาตลอดทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ทราบว่าเอกสารพวกนี้ได้มาอย่างไร และนำมาเป็นประเด็นตีแผ่ได้อย่างไร
แจงพัลวัน"น้ำมันเถื่อน"
เมื่อถามว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อนได้อย่างไร น้องชายเสี่ยโจ้กล่าวว่าน้ำมันเถื่อนในที่นี้คืออะไร เข้ามาที่ไหน เข้ามาในน่านน้ำไทยหรือไม่ เท่าที่เคยประกอบอาชีพเรือประมง ไม่เคยเห็นมีใครเอาน้ำมันขึ้นฝั่ง มีแต่ต้องเข้าใจชีวิตชาวประมง ทุกวันนี้รายได้หายาก ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ค่าแรงก็มากขึ้น ต้นทุนสำคัญคือน้ำมัน ตนเข้าใจว่าน่าจะเป็นการเติมน้ำมันกลางทะเลที่อยู่นอกน่านน้ำไทย แล้วเข้ามาจับปลาในน่านน้ำอย่างนี้เรียกว่าน้ำมันเถื่อนหรือเปล่า ถ้าไม่ได้เอาเข้ามาในราชอาณาจักรก็ไม่ถือว่าเถื่อน
เมื่อถามว่ารู้จักใครในวงการน้ำมันเถื่อน น้องชายเสี่ยโจ้กล่าวว่า ตนไม่ทราบ และไม่เชื่อว่าพี่ชายจะมีเงินจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่หรือตำรวจได้มากมายขนาดนี้ ยืนยันว่าพี่ชายไม่เกี่ยวข้องกับส่วยน้ำมันเถื่อนอย่างแน่นอน ส่วนที่มีข้อมูลว่ามีรายได้จากการขายน้ำมัน 2,000-3,000 ล้านบาทนั้น ถ้าพี่ชายมีขนาดนั้นก็คงนั่งรถยนต์แพงๆ มาแล้ว ไม่นั่งแท็กซี่มาหรอก ทั้งนี้หากจะต้องร้องเรียนที่ใดได้อีก ตนก็จะไปร้องเรียนทันที
เมื่อถามถึงกรณีรถยนต์ที่มีชื่อของนายณรงค์กรณ์ไปอยู่บริเวณชายแดนภาคใต้ นายณรงค์กรณ์กล่าวว่า รถยนต์คันดังกล่าวเป็นของแฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้ว แต่ชื่อยังเป็นของตนอยู่ แฟนเก่าแต่งงานมีครอบครัวใหม่แล้ว รถยนต์เอาไปใช้หลายปีแล้วจอดทิ้งไว้เพราะรถเสีย เพราะแฟนเก่าทำธุรกิจอยู่แถวนั้น จะลากกลับมาแต่ยังไม่ได้ลาก
เรือนจำแยกขัง"บิ๊กกิ๊ก"-เครือข่าย
วันเดียวกัน นายอายุตย์ สินธพพันธ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการราชทัณฑ์ได้ดำเนินการจำแนกผู้ต้องขังใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มของอดีตผบช.ก. โดยคณะกรรมการลงความเห็นให้นำกลุ่มอดีตนายตำรวจไปขังรวมกันภายในแดน 1 เพื่อความปลอดภัย ส่วนกลุ่มที่เป็นพลเรือนให้จำแนกไปอยู่ตามแดนต่างๆ
นายอายุตย์กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มอดีตนายตำรวจที่ถูกคุมขังอยู่ภายในแดนเดียวกัน ประกอบด้วย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีตผบช.ก., พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีตรองผบช.ก., พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อายุ 55 ปี อดีตผบก.ตำรวจน้ำ, พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อายุ 46 ปี อดีตผกก.4 บก.ปคบ., ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา อายุ 50 ปี อดีตผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. และด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง อายุ 48 ปี อดีตผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป.
ส่วนกลุ่มพลเรือน ประกอบด้วย นาย ณัฐพล (อัครพงศ์ปรีชา) สุวะดี, นายสิทธิศักดิ์ (อัครพงศ์ปรีชา) สุวะดี, นายณรงค์ (อัครพงศ์ปรีชา) สุวะดี, นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์, นายชากานต์ ภาคภูมิ และนายชอบ ชินนะประภา อายุ 60 ปี
ขณะที่นางสวงค์ มุ่งเที่ยง อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต, นางปิยพรรณ ชินนะประภา อายุ 56 ปี ภรรยานายชอบ ซึ่งเป็นน้องสาวและน้องเขยของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กระทำความผิดฐานฟอกเงิน ถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
ปปง.รับโฉนดของกลางไปสอบ
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ร.1 พัน.2 รอ. ถ.แจ้งวัฒนะ นายนพดล อุเทน ผอ.กองคดี 1 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เดินทางมารับมอบทรัพย์สิน ของกลางของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวก ประกอบด้วย โฉนดที่ดินจำนวน 104 แปลง ไปดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงิน โดย มีพ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย ผกก.สน.ท่าพระ ในฐานะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) และพ.ท.ศรัทธา นิลกำแหง รองเสธ. ร.11 รอ. เป็นตัวแทนส่งมอบ
นายนพดลกล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปปปง. จะแจ้งไปถึงผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนด ให้มาชี้แจงที่มาของทรัพย์ภายในเวลา 30 วัน สำหรับโฉนดที่ดินที่อายัดไว้ชุดแรกนี้ เป็นที่ดินในกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ จ.นนทบุรี, สมุทรสาคร และนครปฐม ยังไม่มีโฉนดที่ดินที่จ.ราชบุรี อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ปปง.จะตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นทั้งหมด 20,000 รายการ เพื่อให้คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาอายัดเพิ่มเติมด้วย
ด้านพ.ต.อ.มานะกล่าวว่า โฉนดที่ดินที่เหลือ 32 แปลง ที่คณะกรรมการธุรกรรมปปง.มีมติไม่อายัด เพราะเป็นทรัพย์ได้มาก่อนที่พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ดำรงตำแหน่ง ผบช.ก.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทรัพย์สิน ของกลางที่ยึดอายัดได้จากเครือข่ายพล.ต.ท. พงศ์พัฒน์หลายหมื่นชิ้น ขณะนี้เก็บรักษา ไว้อย่างดีภายในห้องประชุม ร.1 พัน. 2 รอ. ถ.แจ้งวัฒนะ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด และจัดเวรยามดูแลตลอด 24 ช.ม. โดย ทรัพย์ทั้งหมดจัดแยกประเภททรัพย์สินและ แบ่งหมวด อาทิ โบราณวัตถุ ภาพเขียน พระพุทธรูป และรถยนต์ เป็นต้น