- Details
- Category: อาชญากรรม
- Published: Wednesday, 03 December 2014 14:58
- Hits: 4855
วันที่ 03 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8771 ข่าวสดรายวัน
ล่าเศรษฐี อันดับ 31 หมายจับ'นพพร'ร่วมบิ๊กกิ๊ก แฉเป็นนักธุรกิจ-รวยหมื่นล้าน จ้างวานแก๊งอุ้ม-ขู่บังคับลดหนี้'เสี่ยโจ้ 'เผ่นออกนอกประเทศ หามพงศ์พัฒน์-ความดันกำเริบ เด้งบิ๊กดีเอสไอ-เซ่น'นมถ.'อีก
หมายจับ - พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ รรท.ผบช.ก. โชว์หมายจับนายนพพร ศุภพิพัฒน์ มหาเศรษฐีอันดับ31ของเมืองไทย ผู้ต้องหาจ้างวานทีมอัครพงศ์ปรีชา เครือญาติ"บิ๊กกิ๊ก"อดีตผบช.ก. ไปอุ้มเจ้าหนี้ข่มขู่ให้ลดหนี้
ศาลทหารออกหมายจับ'เสี่ยนพพร' เศรษฐีจ้างวานแก๊งพงศ์พัฒน์ อุ้มบังคับลดหนี้ พร้อมตั้ง 3 ทีมเร่งติดตามตัว-คาดยังอยู่ในปท. แฉรวยติดอันดับ 31 ของไทย จ่อออกหมายเพิ่มอีกเป็นผู้จ้างวาน-แนะนำให้รู้จักทีมอุ้ม ฝากขัง 2 ส.อ.-พลเรือนร่วมแก๊ง ตร.ประสานอินเตอร์โพลช่วยล่าตัว 'เสี่ยโจ้'หลังพบข้อมูลเผ่นหนีประเทศเพื่อนบ้าน ระบุไม่ออกหมายเพิ่มแล้ว-คดีคืบหน้า 90 เปอร์เซ็นต์ คาดอีกเดือนสรุปสำนวนได้ ขณะที่พ.ต.ท.คนสนิทบิ๊กกิ๊กยังล่องหน ชี้เบี้ยวหมายเรียก 3 หนโดนสั่งจับแน่ ขณะที่ 'พงศ์พัฒน์'ความดัน-เบาหวานกำเริบ ถูกส่งตัวไปร.พ.ราชทัณฑ์ กรมศิลป์ตรวจโบราณวัตถุ แฉเกินกว่าครึ่งของเก๊
เสี่ยโจ้เผ่นนอก-ประสานตร.สากล
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. โฆษกตร. และรรท.ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. และพวก ในความผิดหลายกรรมหลายวาระ ทั้งซื้อขายตำแหน่งในบช.ก. ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อน และความผิดตามมาตรา 112 พร้อมตั้งค่าหัวนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน และลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้เป็นเงิน 1 ล้านบาทว่า ขณะนี้มีผู้ประสานข้อมูลเกี่ยวกับเสี่ยโจ้เข้ามาเหมือนกัน พร้อมชี้ช่องทางและข้อมูลว่าน่าจะอยู่ที่ไหน แต่ยังเป็นแค่สมมติฐาน เพราะยังไม่มีใครเห็นตัวหรือส่งรูปถ่ายมาให้ว่าอยู่ตรงไหน แต่เท่าที่ตรวจสอบแล้วน่าจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านบริเวณแนวชายแดนไทย อยู่ในประเทศใกล้ๆ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันและกำลังเร่งติดตามจับกุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้เสี่ยโจ้เข้าไปอยู่ภายใต้การดูแลของใคร พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ตอนนี้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่ในทางลับเจ้าหน้าที่รู้อยู่พอสมควร แต่ยังพูดไม่ได้ เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบ พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า เรื่องความไม่สงบของจังหวัดชายแดนใต้ตัดไปได้เลย ความจริงแล้วไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องการหาผลประโยชน์ธุรกิจที่ผิดกฎหมายอย่างเดียว หากถามว่ามีโอกาสแค่ไหนที่จะได้ตัวเสี่ยโจ้ ก็น่าจะ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่อาจต้องใช้เวลา ขณะนี้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและประสานไปยังตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล ขอเป็นหมายแดง หรือหมายเฝ้าระวัง หากผู้ต้องหาปรากฏตัวที่ประเทศใดก็จะแจ้งมาว่าขณะนี้อยู่ที่ไหน ถึงแม้ไม่มีหมายจับก็ใช้หมายแดงได้
อีกเดือนสรุปสำนวนคดีบิ๊กกิ๊ก
เมื่อถามว่าขณะนี้มีความชัดเจนแค่ไหนว่าเสี่ยโจ้กับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เชื่อมโยงกัน พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า เท่าที่หลักฐานชัดเจนคือ การเชื่อมโยงกับนายตำรวจที่จับกุมไปก่อนหน้านี้ เรื่องนี้เป็นหลักฐานในสำนวนขอไม่เปิดเผย ในส่วนที่จะเพิ่มรางวัลนำจับเสียโจ้นั้น ส่วนตัวคิดว่ารางวัลนำจับขณะนี้ถือว่าเป็นตัวเงินที่สูงแล้ว ไม่น่าจะเพิ่มเงินรางวัลนำจับอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากเสี่ยโจ้แล้วมีเครือข่ายอื่นร่วมขบวนการอีกหรือไม่ พล.ต.ท. ประวุฒิกล่าวว่า ในขบวนการมีลูกน้อง ซึ่งแนวทางการสืบสวนยังดำเนินการต่อและต้องขยายผลไปถึง ส่วนคดีของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์จะออกหมายจับเพิ่มหรือไม่นั้น ขณะนี้หมายจับเท่าที่ดูหมดแล้ว ไม่มีการออกหมายจับเพิ่ม นอกจากมีหลักฐานใหม่ ขณะนี้เป้าของขบวนการจบแล้ว และคืบหน้าไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
เมื่อถามอีกว่าในส่วนการติดตามตัวพ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 บก.ป. คนสนิทของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ติดต่อเข้ารายงานตัว อยู่ระหว่างประสานและไม่มีการจับกุม เนื่องจากไม่อยู่ในฐานะนั้น มีเพียงการออกหมายเรียก ถ้าออกหมายเรียกครบ 3 ครั้งแล้วไม่มา ก็จะออกหมายจับต่อไปในข้อหาไม่มาให้ถ้อยคำ แต่หากพบหลักฐานเชื่อมโยงก็จะดำเนินคดี แต่ขณะนี้เป็นการออกหมายเรียกเท่านั้น
"ในส่วนของการสรุปสำนวนคดีนี้ ขอเวลาสักระยะ เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดทำของกลาง ซึ่งการจัดทำของกลางใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพราะนอกจากการตรวจนับจำนวนและลักษณะแล้ว ต้องตรวจสอบด้วยว่าของกลางชิ้นไหนเป็นของแท้หรือไม่แท้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง" ผู้ช่วยผบ.ตร.กล่าว
พงศ์พัฒน์ความดันกำเริบ
ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่เรือนจำนำตัวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ส่งเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยในทัณฑสถาน ร.พ.ราชทัณฑ์ หลังมีอาการความดันและเบาหวานกำเริบ ขณะถูกคุมขังภายในแดนแรกรับ
ของกลาง - ส่วนหนึ่งของโบราณวัตถุของกลาง จากคดีจับกุมพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก.และเครือข่าย ซึ่งนายวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร นำมาแสดงระหว่างแถลงผลการตรวจพิสูจน์ ที่หอประชุมวชิรญาณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กทม. เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.
ด้านนายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้ารับรายงานจากนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า นำตัวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ส่งเข้ารักษาอาการป่วย ซึ่งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ถือว่าอยู่ในข่ายเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ จากการตรวจสอบสภาพร่างกายของแพทย์ แม้พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์จะไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง แต่มีโรคผู้สูงอายุทั่วไป เช่น ความดันที่มีความสำคัญในเรื่องของตัวยา โดยแพทย์ตรวจร่างกายอย่างละเอียดและปรับยาความดันและเบาหวานให้เหมาะสม หลังจากนี้จะแจ้งญาติให้นำยาของแพทย์ประจำตัวมาให้ เพื่อปรับการจ่ายให้ผู้ต้องขัง ส่วน ผู้ต้องขังรายอื่นในคดีเดียวกันยังคงถูกคุมขังในแดนแรกรับไม่ได้นำตัวออกมาด้วย หลังรับการรักษาเจ้าหน้าที่ได้นำตัวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กลับเข้าเรือนจำแล้ว
ด้านนายอายุตม์กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องขังในคดีนี้รายอื่นที่มีโรคประจำตัว โดยด.ต. ฉัตรินทร์ เหล่าทอง พบป่วยจากโรคความดัน กรดไหลย้อนและโรคหัวใจ ขณะนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่ในสถานพยาบาลเรือนจำฯ ส่วนพ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีตผกก.4 ปคบ. ที่ก่อนหน้านี้มีอาการเครียดจัด แพทย์ได้รักษาจนอาการดีขึ้นและส่งตัวกลับแดนแล้ว นอกจากนี้ยังส่งตัวพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช และนายชอบ ชินนะประภา ไปตรวจร่างกายตามคำสั่งของแพทย์ด้วย
ออกหมายเรียกพ.ต.ท.อีก
ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. กล่าวถึงการติดตามตัว พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี นายตำรวจคนสนิท พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่าพนักงานสอบสวน บก.ป.ทำหนังสือออกหมายเรียกไปอีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยส่งหมายดังกล่าวไปยังที่อยู่ตามภูมิลำเนาของ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ เพื่อให้เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป. ภายในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ซึ่งหาก พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ยังไม่เดินทางมาพบอีก คงจะพิจารณาออกหมายจับในความผิดฐานขัดหมายเรียก ซึ่งส่วนนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
พ.ต.อ.อัคราเดชกล่าวต่อว่า ตามขั้นตอนการดำเนินการนั้น เนื่องจาก พ.ต.ท.ทรงรักษ์ เป็นนายตำรวจ ตามระเบียบราชการหากขาดราชการเกินกว่า 15 วัน โดยไม่แจ้งสาเหตุ มีโทษต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งนี้ นับตั้งแต่ออกหมายเรียกครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา นอกจากส่งหมายเรียกไปแล้ว ยังมอบหมายให้พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผกก.6.บก.ป. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงประสานติดตามตัวด้วย
เซ่นนมถ.-เด้งรองอธิบดีดีเอสไอ
ที่กระทรวงยุติธรรม รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เซ็นคำสั่งย้ายนายเพิ่มพูน พึ่งประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ โดยคำสั่งดังกล่าวระบุเหตุผล เพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ต่อทางราชการ อย่างไรก็ตามการโยกย้ายคาดเนื่องจากนายเพิ่มพูนเป็นรองอธิบดีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลดีเอสไอประจำศูนย์ภาคต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ช่วงหลังมีปัญหาเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ จนต้องปรับย้ายเจ้าหน้าที่ในศูนย์ภาคต่างๆ หลายครั้ง นอกจากนี้ยังพบปัญหาเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อนด้วย จนมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก พล.อ.นิวัตร มีนะโยธิน ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม ว่ามีการโยกย้ายรองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งการโยกย้ายเป็นอำนาจของปลัดกระทรวงยุติธรรม
ป.ป.ช.เด้งรับ-สอบทรัพย์สิน
ที่สำนักงานป.ป.ช. สนามบินน้ำ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช. กล่าวถึงการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ว่า ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ของตำแหน่งที่ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งตามกฎหมายระบุ ซึ่งในส่วนของตำรวจคือ ผู้เข้าดำรงตำแหน่งผบก.ขึ้นไป ดังนั้นใครที่อยู่ในข่ายก็ต้องยื่น โดยกรณีนี้ป.ป.ช.ตรวจสอบ 3 ราย คือ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พล.ต.ต.โกวิทย์ และ พ.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผบก.ตำรวจน้ำ โดยตรวจสอบเชิงลึกของความมีอยู่จริงของทรัพย์สินที่ยื่นแสดงรายการไว้ต่อป.ป.ช. เพื่อเปรียบเทียบกับที่ถูกดำเนินคดี ซึ่งป.ป.ช.ต้องประสานขอข้อมูลไปยังตร. เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน เบื้องต้นมอบหมายนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการป.ป.ช. เป็นประธานตรวจสอบเรื่องนี้ เช่นเดียวกับความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็เป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ด้วย
ด้านนายวรวิทย์กล่าวว่า นัดประชุมอนุกรรมการตรวจสอบเชิงลึกฯ นัดแรกใน วันที่ 4 ธ.ค. นี้ ที่สำนักงานป.ป.ช.
กรมศิลป์ตรวจโบราณวัตถุ
ที่หอประชุมวชิรญาณ สำนักหอสมุดแห่ง ชาติ กทม. นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมนายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ ผอ.สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นายสมชาย ณ นครพนม นักโบราณคดีทรงคุณวุฒิ และน.ส.พัชรินทร์ ศุขประมูล รักษาการ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยและพัฒนา พิพิธฑภัณฑ แถลงผลตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุบางส่วนที่ยึดจากพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และมาเก็บไว้ภายใน ร.1 พัน 2 รอ.
นายบวรเวทกล่าวว่า การตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา พบโบราณวัตถุเป็นประติมากรรมหินศิลปะเขมร 13 รายการ อีกทั้งยังมีพระพุทธรูป รูปเคารพในพระพุทธศาสนา และศาสนาฮินดู 37 รายการ เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยสำริด ศิลปะล้านช้าง พุทธศตวรรษที่ 21-22 พระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ทำด้วยสำริด ศิลปะอยุธยาตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ 23-24 พระพุทธรูปนั่งบนฐานสูง ทำด้วยไม้ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พุทธศตวรรษที่ 24 พระพุทธรูปและพระสาวกครองจีวรลายดอก พระพุทธรูปปางป่าเลย์ ไลยก์ ทำด้วยโลหะผสมศิลปะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งยังมีงาช้างอีกกว่า 30 รายการ
แฉเกินกว่าครึ่งเป็นของเก๊
"ขณะนี้กำลังตรวจสอบและคัดแยกประติมากรรมหิน ศิลปะอินเดีย ภาพแกะสลัก เครื่องปั้นดินเผาต่างๆ อีกกว่า 1 หมื่นชิ้น ตลอดจนตั้งคณะกรรมการประเมินราคาโบราณวัตถุทั้ง 50 รายการที่ผ่านการตรวจสอบแล้วอีกครั้ง โดยคาดว่าของกลางที่ได้ตรวจสอบนี้ มีมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งกลุ่มประติมากรรมหิน ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะไม่มีไว้ในครอบครอง เพราะเป็นรูปเคารพที่อยู่ในศาสนสถาน ดังนั้นผู้ครอบครองต้องชี้แจงที่มาของการครอบครอง" อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวและว่า ยืนยันว่าโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดได้นั้น ไม่มีชิ้นไหนหายไปจากพิพิธภัณฑ์ของไทย และจากการตรวจสอบพบเป็นศิลปะที่มีในประเทศกัมพูชา พม่าและอาจมีลาวร่วมอยู่ด้วย แต่คงต้องเปรียบเทียบอีกครั้ง
นายบวรเวทกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้จากการตรวจสอบยังพบว่าโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุเกินกว่าครึ่งเป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ ส่วนที่เป็นของจริงพบเป็นศิลปะเขมร โดยโบราณวัตถุและศิลปวัตถุของประเทศเพื่อนบ้านที่ตรวจพิสูจน์แล้ว กรมศิลปากรจะประสานไปยังสถานทูตของประเทศเหล่านั้น ให้แสดงหลักฐาน เพื่อส่งมอบคืนต่อไป ส่วนที่เป็นศิลปะของไทยจะเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบด้วย โดยนำรูปภาพศิลปะของกลางที่ได้รับการตรวจสอบทั้งหมดขึ้นเว็บไซต์ www.Finearts.go.th ของกรมศิลปากร
หมายจับ"เสี่ยนพพร"จ้างอุ้มลดหนี้
ส่วนการติดตามคดีที่เกี่ยวข้องกับเครือญาติของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ก่อคดีความผิดมาตรา 112 ความผิดฐานข่มขู่ กักขังหน่วงเหนี่ยว กรรโชกทรัพย์ลักษณะทวงหนี้และ อุ้มตัวไปบังคับให้ลดหนี้ 120 ล้านบาท
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ออกหมายจับนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพเลขที่ 138/2557 ลงวันที่ 1 ธ.ค.2557 ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จ้างวานใช้ให้ ผู้อื่นกระทำการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนไปขอหมายจับที่ศาลทหาร เนื่องจากวันที่ 23 มิ.ย.2557 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุที่จ้างวานให้อุ้มไปบังคับลดหนี้ เป็นช่วงที่มีการประกาศใช้ กฎอัยการศึก
ตั้ง 3 ทีมล่า-คาดยังอยู่ในไทย
ที่บช.น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. กล่าวว่า ศาลทหารอนุมัติหมายจับนายนพพร มหาเศรษฐีที่จ้างวานให้อุ้มไปบังคับให้ลดหนี้ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างติดตามตัว เบื้องต้นตั้งชุดสืบสวน 3 ชุดเร่งติดตามตัว ซึ่งตามข้อมูลพบยังอยู่ในประเทศไทย ส่วนมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอดีต ผบช.ก. และข้อหา ม.112 อย่างไรนั้น เป็นเรื่องในสำนวน แต่ยืนยันว่าต้องมีหลักฐานชัดเจน ไม่เช่นนั้นศาลไม่อนุมัติหมายจับ ซึ่งนายนพพรทำหน้าที่เป็นผู้ใช้จ้างวาน
พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวอีกว่า ส่วนการขออนุมัติหมายจับเพิ่มเติมคดีในท้องที่ สน.พระโขนงนั้น ยังอยู่ระหว่างดำเนินการขอศาลอนุมัติหมายจับ ซึ่งบุคคลที่จะถูกออกหมายจับอีก 1 คนคือ ผู้ใช้จ้างวานเหมือนกัน แต่เป็นคนละคนกับผู้ต้องหาในคดี ทั้งพื้นที่สน.พระโขนง และสน.วัดพระยาไกร แต่หากการสอบสวนพบเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้น ต้องถูกแจ้งข้อหาเดียวกับผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม คาดว่าใกล้จะสามารถสรุปสำนวนส่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ เพราะทั้ง 2 สำนวนของบก.น.5 เป็นการดำเนินการตามคำสั่งภายใต้การควบคุมของบช.น.และตร. คาดดำเนินการได้ภายในวันที่ 31 ธ.ค.อย่างแน่นอน
ฝากขัง 2 ส.อ.-พลเรือนร่วมแก๊ง
ด้านพล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 กล่าวว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ขออนุมัติศาลทหารออกหมายจับนายนพพร โดยแจ้งข้อหาเพิ่ม ฐานเป็นผู้จ้างวาน และอายัดตัวผู้ต้องหาที่สน.พระโขนง คุมตัวฝากขังไปก่อนหน้านี้คือ นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ อายุ 41 ปี โดยเป็นผู้เกี่ยวข้องในส่วนเหตุการณ์วันเกิดเหตุ เนื่องจากอยู่ร่วมกับผู้ต้องหาคนอื่นในร้านอาหารย่านพุทธมณฑลสาย 3 เบื้องต้นตอนนี้ไม่สามารถติดต่อนายนพพรได้ แต่ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนบก.น.5 เร่งติดตามจับกุม คาดยังไม่หลบหนีออกนอกประเทศ โดยประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไว้แจ้งอายัดตัวตามหมายจับ
พล.ต.ต.ชวลิตกล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่มอบตัวและจับกุมได้เพิ่มเติมนั้น พนักงานสอบสวนสน.วัดพระยาไกร ควบคุมตัวนายวิทยา เทศขุนทศ ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวไปฝากขังที่ศาลทหารแล้ว ส่วนส.อ.ณธกร ยาศรี อายุ 29 ปี และส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี อายุ 28 ปี พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาและสอบปากคำทหารทั้ง 2 นาย ก่อนนายทหารพระธรรมนูญควบคุมตัวไปฝากขังที่ศาลทหารแล้วเช่นกัน จากนั้นจะนำตัวทั้ง 3 คนไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
แฉ"เสี่ยนพพร"รวย 2 หมื่นล.
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ต้องหาที่พนักงานสอบสวนสน.พระโขนง จะขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมนั้น เป็นผู้ที่ถูกซัดทอดว่า เป็นผู้จ้างวานและเป็นผู้แนะนำให้รู้จักกลุ่ม ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ คาดจะออกหมายจับ ผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 ราย ในเหตุการณ์การติดตามทวงหนี้ ซึ่งจากการสอบปากคำในกลุ่มของผู้ต้องหาก่อเหตุทวงหนี้และบังคับลดหนี้ทั้งหมดนั้น พบยังรับงานคอยเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ให้กับสถานบริการหลายแห่ง พร้อมดูแลเรื่องความปลอดภัยและการเปิดสถานบริการเกินเวลา รวมถึงรับเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ในการเปิดแผงขายซีดีเถื่อนหลายแห่งย่านคลองถม โดยบางรายจ่ายเงินให้ถึงเดือนละ 100,000 บาท เพื่อให้ขายซีดีเถื่อนได้ด้วย
ส่วนประวัติของนายนพพร ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับเป็นผู้ใช้จ้างวานให้อุ้มไปบังคับลดหนี้นั้น พบเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่อายุน้อยสุด โดยอยู่ในลำดับที่ 31 ของการจัดลำดับมหาเศรษฐีของไทย ประจำปี 2557 โดยเว็บไซต์ฟอร์บไทยแลนด์ พบร่ำรวยจากการทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม และมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 25,600 ล้านบาทด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผ่านบริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี คอร์เปอร์เรชั่น ซึ่งถืออยู่ในวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ กว่า 63 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่บริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยีฯ เป็นบริษัทที่นายนพพรถือหุ้นอยู่มากถึง 74.5 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับบริษัท เน็กซ์ โกลบอล อินเวสต์เมนท์ในฮ่องกงที่ถืออยู่ 24.5 เปอร์เซ็นต์