- Details
- Category: อาชญากรรม
- Published: Tuesday, 02 December 2014 11:48
- Hits: 5442
วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8769 ข่าวสดรายวัน
คุกติดกล้องดูบิ๊กกิ๊ก จับอีก 2 แฉขั้นตอนแอบอ้าง อุ้มขู่ใกล้สถานที่สำคัญ ให้รู้ว่าเป็นคนของใคร 2 สิบเอก-มอบตัววันนี้ เร่งหาตัวพตท.คนสนิท
รวบอีก2 - พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ รรท.ผบช.ก. แถลงจับกุมนายชลัช โพธิราช และนายณัฐนันท์ ทานะเวช ผู้ต้องหาตามหมายจับคดี 112 ซึ่งเป็นคดี ที่เกี่ยวเนื่องกับพล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.
จับอีก 2 ผู้ต้องหาร่วมแก๊ง งพงศ์พัฒน์งตามหมายจับคดี 112 -กรรโชกทรัพย์ ระบุร่วมกับ"ณัฐพล"กับญาติพี่น้องแอบอ้างเบื้องสูงไปอุ้มเสี่ยย่านวัดพระยาไกร แล้วข่มขู่ใกล้กับสถานที่สำคัญ ให้ลดหนี้จาก 120 ล้านเหลือแค่ 20 ล้าน สารภาพเป็นคนขับรถ ได้ค่าจ้างแค่ 5 พัน ส่วนอีก 2 สิบเอกติดต่อมอบตัววันนี้ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเผยสั่งจนท.จับตางพงศ์พัฒน์งกับพวก เพราะเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ มีกล้องวงจรปิดจับตาตลอด ประวุฒิสั่งให้พ.ต.ท.คนใกล้ชิดงพงศ์พัฒน์งรีบมาพบตำรวจ หลังหายตัวไปลึกลับ 7 วันแล้ว ชี้อาจเป็นอันตรายได้ เพราะรู้เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี
จากกรณีที่ตำรวจสน.วัดพระยาไกรขออนุมัติศาลทหารกรุงเทพฯ ออกหมายจับ ผู้ต้องหา 8 คนที่ก่อเหตุขู่บังคับให้เจ้าหนี้ลดจำนวนหนี้กว่า 100 ล้านบาท ให้เหลือ 20 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.นายชากานต์ หรือยูริ ภาคภูมิ อายุ 34 ปี 2.นายชลัช โพธิราช อายุ 30 ปี 3.นายวิทยา หรือแท็ก เทศขุนทด อายุ 26 ปี 4.ส.อ.ณธกร ยาศรี อายุ 29 ปี 5.ส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี อายุ 28 ปี 6.นาย ณัฐนันท์ ทานะเวช อายุ 24 ปี 7.นายณรงค์ หรือปื๊ด อัครพงศ์ปรีชา อายุ 41 ปี และ 8.นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา อายุ 29 ปี โดยมีผู้ต้องหา 3 คน ถูกดำเนินคดีเดียวกันในพื้นที่สน.พระโขนง ไปก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น
จับเพิ่มอีก 2 รายร่วมแก๊งพงศ์พัฒน์
ความคืบหน้า เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 30 พ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. รรท.ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ท. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รองผบช.น. พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผบก.น.2 พ.ต.อ.ชุมพล พุ่มพวง รองผบก.น.5 พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ เฉลิมสุข ผกก.สน.วัดพระยาไกร และเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.วัดพระยาไกรที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อีก 2 ราย คือนายณัฐนันท์ ทานะเวช และนายชลัช โพธิราช ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายหรือยอมจำนนต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
โดยทั้ง 2 คนถูกชุดสืบสวนจากกองกำกับการสืบสวนสอบสวน บก.น.5 จับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 3 ซอยสุทธิพงษ์ 4 แขวงดินแดง เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยนายชลัช โพธิราช เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารที่ 128/2557 ลงวันที่ 28 พ.ย.2557 ส่วนนายณัฐนันท์ ทานะเวช เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารที่ 132/2557 ลงวันที่ 28 พ.ย.2557
ระบุผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า หลังจากการที่มีการออกหมายจับผู้ต้องหา 5 คนแล้ว เมื่อนายชลัชและนายณัฐนันท์ทราบ และถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอมอบตัว โดยพฤติกรรมของ ผู้ต้องหาได้มีการข่มขู่นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ผู้เสียหายเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อขอลดหนี้ที่นายนพพร ศุภพิพฒน์ มาขอกู้ยืมกว่า 120 ล้านบาท แต่ถูกกลุ่มผู้ต้องหาพยายามอุ้มตัวไปเพื่อข่มขู่ และขอให้ลดหนี้เหลือ 20 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายไม่ยินยอมและมีปากเสียงกัน กระทั่งมีชาวบ้านในละแวกนั้นมามุงดู เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าควบคุมเหตุการณ์และเชิญตัวไปที่สน.วัดพระยาไกร ก่อนจะปล่อยตัวทั้งผู้ต้องหาและผู้เสียหาย จากนั้นได้มีการไปเจรจาประนอมหนี้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑล และได้มีการแอบอ้างเบื้องสูงและพยายามจะอุ้มผู้เสียหายอีกครั้งจนกระทั่งเข้าแจ้งความในเวลาต่อมา
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา โดยนายชลัชให้การว่า เป็นคนขับรถให้กับนายชากานต์ ภาคภูมิ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ซึ่งวันเกิดเหตุมีหน้าที่ขับรถไปเชิญตัวผู้เสียหายตามคำสั่ง ซึ่งยืนยันว่าขณะเชิญตัวไม่มีการพกพาอาวุธ และได้ค่าจ้างคนละแค่ 4,000 บาท พร้อมยอมรับว่าเคยเจอกับคนในตระกูลอัครพงศ์ปรีชาจริง แต่ไม่เคยพูดคุยด้วยเพราะมีหน้าที่ขับรถมาส่งเจ้านายเท่านั้น
ควานตัวพตท.-หวั่นเป็นอันตราย
เมื่อถามถึงกรณีพ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รองผกก.6 บก.ป. ที่ได้เชิญตัวและไม่มานั้น พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างพยายามให้ผู้บังคับบัญชาเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติม จากเดิมเรียกตัวมาสอบแล้วให้กลับไป กระทั่งวันนี้ได้เรียกตัวมาสอบเพิ่ม แต่ไม่มา คาดว่าจะหลบหนีจากความกลัวหรือตกใจ บอกผ่านทางสื่อมวลชนขอแจ้งให้พ.ต.ท.ทรงรักษ์ เข้ามาติดต่อ เนื่องจากว่าถ้าหลบหนีไปเกรงว่าจะเกิดอันตราย
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ขอให้พ.ต.ท. ทรงรักษ์ติดต่อผ่านมาที่ผู้บังคับบัญชาที่ไว้ใจหรือติดต่อเข้ามาหาตนได้ทันที อาจจะมีการรู้เห็นในเส้นทางของการส่งผลประโยชน์อยู่ในขบวนการของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ โดยเคยเข้ามาให้ปากคำอาทิตย์ที่แล้วไม่มีอะไร และจึงให้ปล่อยตัวกลับไป ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ แต่ขอไม่เปิดเผยเพราะเป็นเรื่องในสำนวน ทั้งนี้ ได้ลงบันทึกประจำวันข้อมูลดังกล่าวไว้แล้ว หากไม่เข้ามาพบเกิน 15 วัน ก็มีโทษทางวินัยคือขาดราชการเกินกว่า 15 วัน และถ้าขาดโดยไม่มีเหตุอันควรก็จะถูกให้ออกจากราชการ
ยังไม่ตั้งกก.สอบเรื่องถอดยศ
เมื่อถามถึงการถอดยศเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกดำเนินคดีว่าอยู่ขั้นตอนไหน พล.ต.ท. ประวุฒิกล่าวว่า ยังไม่ได้มีการดำเนินการ ดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งต้องให้เป็นไปตามสำนวนคดีด้วยว่า มีการดำเนินการไปถึงไหน โดยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ยังไม่ได้สั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการกรณีดังกล่าว จะเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง หลังจากนั้นถึงจะมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการถอดยศ โดยเกี่ยวข้องกันหมดทุกประเด็น และต้องเป็นไปตามเงื่อนไข 3-4 เงื่อนไข อย่างเงื่อนไขแรกคือต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ จำคุกก็อยู่ในข่ายที่ถอดยศ ก็ยังต้องไปดูเงื่อนไขดังกล่าวอีกหลายข้อ ว่าเข้าข่ายเงื่อนไขที่จะต้องถูกถอดยศต่อไป
ด้านพ.ต.อ.เกียรติณรงค์กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา นายชลัช และนายณัฐนันท์ ได้ติดต่อประสานงานให้ชุดสืบสวนกก.สส.บก.น.5 ไปที่ได้พักย่านดินแดง แล้วนัดหมายโดยแจ้งผ่านทางพ่อและแม่ของนายชลัช จึงนำตัวมาโดยจับกุมส่งสน.วัดพระยาไกร ตามหมายจับ ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คน โดยเฝ้าติดตามตัวผู้ต้องหาทุกจุดที่คาดว่าจะอยู่ในบริเวณต่างๆ ก่อนที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จะเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. ผู้เสียหายมีห้องพักอยู่ที่คอนโด ริเวอร์เฮฟเว่น ถ.เจริญกรุง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ
ยันมีพยานเห็นตอนอุ้มเหยื่อ
พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ กล่าวว่า จากการสอบปากคำพยานร้านค้าใกล้เคียงที่เกิดเหตุได้รับการยืนยันว่าเห็นนายชากานต์ได้มาดูลาดเลาตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว เมื่อผู้เสียหายเข้ามาที่พัก กลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุพยายามเอาตัวผู้เสียหายมาให้ได้ แต่ผู้เสียหายไม่ยอม หลังจากเกิดเหตุยืดเยื้อแล้ว ชาวบ้านเข้ามามุงดูกันค่อนข้างมาก ชาวบ้านไม่ยอมและแจ้งให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจมาระงับเหตุดังกล่าว จากนั้นจึงนำตัวผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดไปสอบสวน ผู้ต้องหาส่วนหนึ่งถูกดำเนินคดีเรื่องพกพาอาวุธปืนและอีกส่วนไม่พบความผิดจึงได้ปล่อยตัวไป จากนั้นหลังจากกลุ่ม ผู้ต้องหาก็ไปนัดผู้เสียหายไปพบกันที่ร้าน อาหารอัญญาย่านพุทธมณฑลไปตกลงเจรจากันเอง เพื่อประนอมหนี้อีกครั้งในวันเดียวกัน ส่วนอาวุธปืนจะมี 2 ใน 5 คนที่ถูกดำเนินคดี ซึ่งจะดำเนินคดีข้อหาพกพาอาวุธปืนแยกต่างหาก โดยถูกดำเนินคดีตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในวันเกิดเหตุ
อ้างได้ค่าจ้างแค่ 5 พันร่วมแก๊งอุ้ม
ด้านนายชลัช ผู้ต้องหา กล่าวว่า ตนขับรถยนต์ให้นายชากานต์ ภาคภูมิ ตอนแรกว่างงาน มีพี่ที่รู้จักพาไปสมัครเป็นคนขับรถกับนายชากานต์ โดยทำหน้าที่ขับรถมาปี กว่าแล้ว ได้เงินเดือนละ 8,000 บาท ซึ่งในวันที่เกิดเหตุนั้น ตนขับรถไปจอดอยู่ โดยมีนายชากานต์เป็นคนสั่งให้ตนขับรถไปและให้เชิญตัวนายบัณทิต โชติวิทยะกุล ผู้เสียหาย เพียงแค่เข้าจับมือและฉุดกระชากกันเท่านั้น เพื่อเอาขึ้นรถ ตามที่นายชากานต์สั่ง โดยได้ค่าจ้างประมาณ 4,000-5,000 บาทต่อคน ได้มาครั้งเดียวเท่านั้น ตอนแรกยังไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้าง แต่ขณะนี้ทราบว่านายชากานต์เกี่ยวข้องกับใครบ้าง
"ส่วนเคยเจอคนที่อยู่ในตระกูลอัครพงศ์ปรีชาหรือไม่นั้น เคยเจอบางครั้งเท่านั้น คือนายชากานต์ให้ขับรถไปด้วย จึงทำให้เหตุบุคคลดังกล่าว ได้ยินชื่อเรียกว่านายปื๊ด (นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา) แต่คุยเรื่องอะไรกันหรือแอบอ้างอะไรนั้น ผมไม่ทราบ แม้แต่บางทีเข้าไปคุยก็ไม่ทราบ ผมมีหน้าที่ขับรถอย่างเดียว แต่ช่วงเวลาเกิดเหตุ เห็นนายแท็ค (นายวิทยา เทศขุนทด) เป็นคนทุบกระจก ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันแบบนี้มา 2 ครั้ง โดยทำกับเหตุการณ์นี้ที่ครั้งแรก ครั้งที่ 2 ให้ขับรถไปรับคนแถววัดศรีเอี่ยม โดยคนที่นายชากานต์บอกมาให้ผมไปรับกับคนอื่นอีก 2-3"นายชลัชกล่าว
2 ส.อ.ร่วมแก๊งติดต่อมอบตัว
ต่อมาเวลา 13.30 น. พ.ต.อ.เกียรติณรงค์เดินทางไปตรวจสอบที่ร้านอัญญาเพลสเรส เตอรองต์ เลขที่ 152 หมู่ 5 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งเป็นสถานที่ที่นาย ณัฐพลและพวกซึ่งเป็นผู้ต้องหารวม 8 คนพานายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ผู้เสียหายมาเจรจาต่อรองให้ลดหนี้ให้กับนายนพพร ศุภพิพัฒน์ จากยอดหนี้ 120 ล้านบาทให้เหลือเพียง 20 ล้านบาท โดยกลุ่มผู้ต้องหาจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินร้อยละ 10 ของยอดหนี้ที่ลดได้
พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ เปิดเผยว่า มาตรวจที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสถานที่ที่กลุ่มผู้ต้องหามาพูดคุยเจรจาต่อรองให้ผู้เสียหายลดหนี้ให้ โดยมีนายณัฐพล นายชากานต์ ภาคภูมิ และนายณรงค์นั่งเจรจากับนายบัณฑิตภายในร้าน ขณะที่นายณัฐนันท์ ทานะเวช และนายชลัช โพธิราช ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัว อยู่ด้านนอกร้าน โดยที่เจรจาต่อรองนั้นกลุ่มผู้ต้องหามีการข่มขู่ผู้เสียหาย โดยการแอบอ้างเบื้องสูง แต่ก็ไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ และที่ผู้ต้องหานัดมาที่ร้านอาหารแห่งนี้ เพราะใกล้กับสถานที่สำคัญเพื่อต้องการแสดงตัวให้ผู้เสียหายรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ กล่าวว่า ล่าสุดส.อ.ณธกร ยาศรี และส.อ.ธีรพงษ์ ช่อจำปี ผู้ต้องหาที่เหลือในคดีนี้ ได้ติดต่อเข้ามอบตัวในช่วงบ่าย วันที่ 1 ธ.ค.นี้ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงเหลือผู้ต้องหาเพียงรายเดียว คือนายวิทยา เทศขุนทด ซึ่งผู้ต้องหารายนี้มีอาวุธปืนพกติดตัวถึง 3 กระบอก ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี
เผยพตท.หายตัวไป 7 วันแล้ว
พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผกก.6 บก.ป. กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.ทรงรักษ์หายตัวไป หลังจากทางพล.ต.ท.ประวุฒิมีหนังสือให้มารายงานตัวกับพ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. ว่า หลังจากที่พ.ต.ท.ทรงรักษ์กลับมาจากไปราชการที่ประเทศสหรัฐ ทางกองปราบปรามได้มีคำสั่งให้พ.ต.ท.ทรงรักษ์เข้ามารายงานตัวที่ทำงานทุกวัน โดยเซ็นชื่อเข้าออกตลอดทุกครั้ง ทั้งนี้หลังจากที่ได้มีหมายเรียกจากบช.ก. ปรากฏว่าพ.ต.ท.ทรงรักษ์ได้ขาดการติดต่อ ไม่เข้ามาที่ทำงานอีกเลย
พ.ต.อ.ธีรเดช กล่าวว่า ครั้งสุดท้ายที่พ.ต.ท.ทรงรักษ์เข้ามาคือเมื่อวันจันทร์ที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ทางผู้บังคับบัญชาและเพื่อนที่ทำงานต่างพยายามติดต่อ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยความรู้สึกส่วนตัวเป็นห่วงในฐานะที่เป็นรุ่นน้องและผู้ใต้บังคับบัญชา อยากให้พ.ต.ท.ทรงรักษ์เข้าพบกับผู้บังคับบัญชา เสียดายอนาคตเป็นอย่างมาก เพราะ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ถือเป็นตำรวจที่มีความรู้ความสามารถคนหนึ่ง
คุกติดวงจรปิด-เฝ้าดูพงศ์พัฒน์
วันเดียวกัน นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวถึงมาตร การดูแลพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ และพวก ว่า ทางเรือนจำรับตัวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มาคุมขังตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อคืนที่ผ่านมา การดูแลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ถูกนำตัวไปคุมขังในแดนแรกรับร่วมกับผู้ต้องขังกลุ่มเดียวกัน ให้อยู่ในห้องที่มีกล้องวงจรปิดไว้คอยสังเกตการณ์ เพื่อความปลอดภัย โดยรวมการดูแลไม่พบว่ามีปัญหา ทุกคนปกติดี ในส่วนพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ที่เพิ่งรับตัวเข้าเรือนจำ มีการบันทึกประวัติแล้ว แต่ยังไม่ได้ตรวจสุขภาพ ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ แพทย์จึงจะเข้าไปตรวจสุขภาพพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ต้องขังจะได้ทราบว่ามีโรคประจำตัวหรืออาการเจ็บป่วยหรือไม่
ผบ.เรือนจำกล่าวต่อว่า สำหรับสภาพจิตใจกลุ่มผู้ต้องขังไม่น่ากังวล เรือนจำมีหน้าที่ดูแลตามระเบียบเหมือนผู้ต้องขังทั่วไป และญาติพี่น้องสามารถติดต่อเข้าเยี่ยมได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม จะยังไม่มีการจำแนกผู้ต้องขังกลุ่มนี้ออกจากกัน เพราะยังเป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี