รายงานพิเศษ
"บิ๊กตู่" ส่งสัญญาณไม่ต่ออายุ นั่งควบ "สร.1 - สนามไชย 1" ? "พล.อ.อุดมเดช" ทหารเสือฯ เต็ง ทบ.1 จับตา "บิ๊กต๊อก" คั่ว มท.1 - ปลัด กห. กลิ่นอายทหารคลุ้งทำเนียบฯ
การจัดวางฐานอำนาจและทายาทอำนาจในกองทัพของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่เวลานี้เตรียมประแป้งแต่งตัว เตรียมพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เสียเองแล้ว มีความชัดเจนมากขึ้นทุกขณะจิต
โดยเฉพาะการส่งสัญญาณบางอย่าง ให้รู้ว่าเขาจะยอมเกษียณราชการ จะไม่มีการต่ออายุราชการ ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. อย่างที่นายทหารรุ่นน้องหวาดกลัวกัน
เพราะในเวลานี้ ทางกองทัพบก เริ่มจัดเตรียมงานส่งท้ายชีวิตราชการและพิธีมุทิตาจิต ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ในเดือนกันยายนนี้อย่างยิ่งใหญ่
ด้วยเพราะ พี่ตู่รู้ดีว่าน้องๆ จะรู้สึกเช่นไร หากตนเองต่ออายุราชการ ทั้งๆ ที่เป็น ผบ.ทบ. มายาว 4 ปีแล้ว หากทู่ซี้ยึดครองอำนาจแต่เพียงคนเดียว ก็รังแต่จะทำให้น้องๆ เอาใจออกห่าง
โดย พล.อ.ประยุทธ์ เลือกที่เกษียณจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. ไปอย่างสง่างาม ในฐานะ ผบ.ทบ. ผู้ที่กล้าฝ่าต้านทุกอุปสรรค ก่อการรัฐประหาร เพื่อแก้ไขปัญหาชาติ เพราะที่ไม่มีทางเลือกหรือทางออกอื่นใด ด้วยวาทะ "ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว"
แต่ที่ต้องจับตาคือ พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจเป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่ ท่ามกลางเสียงสนับสนุนคับคั่ง ไม่ว่าจากมวลชนฝั่งสีไหน ที่รู้สึกเหมือนว่าไม่มีทางเลือกอื่น หรือคนอื่นมาเทียบเคียง
ด้วยเพราะมีบางข่าวสวนกระแสออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ แอบทาบทาม นายกรัฐมนตรี ไว้แล้ว แต่สั่งปิดข่าวเงียบที่สุด ลับที่สุด ปล่อยให้ใครๆ เชื่อว่า ตัวเขาจะเป็นนายกฯ เสียเอง
แม้ว่า โหรหลายสำนัก หรือแม้แต่ อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ อดีตโหร คมช. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นศิษย์เอก จะระบุว่าฐานบุญบารมีของเขาต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม แต่ทว่าตอนนี้ มีพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่เป็นระดับรองเจ้าอาวาสวัดดังใน กทม. ทัดทาน เพราะมองเห็นภาพในปลายทาง
จนเป็นที่มาของข่าวลือที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะให้ ผบ.เหล่าทัพคนใดคนหนึ่งที่จะเกษียณราชการ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รุ่นน้อง ตท.13 และรองหัวหน้า คสช. ที่กรำงานหนักในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ แถมยังมีภาพของการเป็น นักวิชาการทหาร ด๊อกเตอร์ มาดนุ่ม สุขุม
แต่ทว่า ถูกคนรอบข้างแนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เสียเองดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาถึงขั้นนี้ แถมทั้งกระแสประชาชนยังตอบรับอีกด้วย
"ยังไม่รู้เลยว่าท่านจะยอมรับเป็นนายกฯ หรือเปล่า" บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. และหัวหน้าฝ่าย กม. และกระบวนการยุติธรรม คสช. และเป็นน้องรักที่ร่วมวางแผนรัฐประหารกับ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว อันเป็นการสะท้อนว่ามีการเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นแล้ว
แต่ที่แน่ๆ อาจจะมี หวยล็อก ที่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 200 คน ที่จะตั้งขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ สนช. นี้ก็มีสัดส่วนของนายทหารทั้งในราชการ และที่เกษียณราชการไปแล้ว มากกว่า 50 คน ไม่นับรวมทุกสาขาอาชีพ ที่ถูกคาดเดาว่าจะเป็น สายอำมาตย์
หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเป็นนายกรัฐมนตรี จริงๆ เขาก็จะต้องควบ คือ
1. การเป็นหัวหน้า คสช. ต่อไป จนกว่า คสช. จะสิ้นสลายไปพร้อมๆ กับการมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง
2. การเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของเมืองไทย
และ 3.คือ อาจจำเป็นต้องควบเก้าอี้ รมว.กลาโหม ด้วย เพื่อไม่ให้ "เท้าลอย" พ้นจากการคุมอำนาจในกองทัพ แม้ว่าจะมีบิ๊กๆ ทหารหลายคน รอต่อคิว อยากที่จะเป็น รมว.กลาโหม อยู่ก็ตาม
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะตั้งแค่ รมช.กลาโหม เท่านั้น ที่ก็ต้องเป็นนายทหารเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 หรือรุ่นน้องเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็น ผบ.เหล่าทัพ คนใดคนหนึ่งที่เกษียณราชการ
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีของ คสช. นี้ ถูกมองว่าจะมีนายทหารจาก คสช. ร่วมอยู่ด้วยหลายคน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้า คสช. และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ และบิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. รองหัวหน้า คสช. และหัวหน้าฝ่ายสังคมและจิตวิทยา ที่ก็จะเกษียณราชการกันยายนนี้
รวมทั้งบิ๊กฉัตร พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผช.ผบ.ทบ. และรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ เพื่อนรัก ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังเหลืออายุราชการถึงปี 2559 ที่ยังแอบลุ้นเป็น ผบ.ทบ. อยู่เงียบๆ เช่นกัน
หรือแม้แต่ นายทหารคนสำคัญอย่าง บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีต รอง ผบ.ทบ. เพื่อนรักของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง ที่มีชื่อรั้งในหลายตำแหน่ง เช่น รมว.มหาดไทย รมช.กลาโหม หรือเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ด้วยเพราะเป็นเพื่อนคู่คิด เป็นมันสมองในการวางแผนต่างๆ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อนรักมาตลอดในทุกวิกฤติ ตั้งแต่ปราบเสื้อแดงเมื่อปี 2553 จนมาถึงการวางแผนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
แต่ก็เกิดกระแสข่าวสะพัดในหมู่สีกากีว่า คนที่จะมาเป็น มท.1 คือ บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. และหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของ คสช. เพราะมีความเด็ดขาด และทำงานในด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำงานต่างๆ ร่วมกับปลัดมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด ถึงขั้นที่ พล.อ.ไพบูลย์ ประกาศจะแก้กฎหมาย ดึงคืนอำนาจจากตำรวจ ในการปราบปรามยาเสพติด และอิทธิพลต่างๆ จากตำรวจ มาไว้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและมหาดไทยตามเดิม
ที่สำคัญคือ พล.อ.ไพบูลย์ เป็นน้องรักในสายวงศ์เทวัญของ พล.อ.ดาว์พงษ์ เลขาธิการคณะที่ปรึกษา คสช. เพื่อนรักของบิ๊กตู่ มายาวนาน จนมาร่วมวางแผนรัฐประหารด้วยกัน
แต่นั่นก็หมายความว่า พล.อ.ไพบูลย์ จะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ แทน พล.อ.ประยุทธ์ หากว่าเขามีชื่อเป็นรัฐมนตรี ในรัฐบาล คสช.
จนเกิดวลีแซวกันใน ทบ. ว่า "ไม่ได้เป็น ทบ.1 แต่ได้เป็น มท.1"
ด้วยเพราะตอนนี้ ชื่อของบิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. นั้น ยังคงเป็นเต็งหนึ่ง ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. เช่นเดิม แม้ว่าในช่วงแรกของการรัฐประหาร ชื่อของ พล.อ.ไพบูลย์ จะมาแรงแซงโค้ง เพราะเป็นผู้มีส่วนในการวางแผนรัฐประหาร ด้วยนั่นเอง
แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น คงรู้ดีว่าควรที่จะเลือก "น้องรัก" คนไหน มาเป็นทายาทอำนาจ มาเป็น ผบ.ทบ. คุมกำลังรบ คุมขุมกำลังปฏิวัติ แบบที่สามารถไว้วางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะทั้ง พล.อ.อุดมเดช และ พล.อ.ไพบูลย์ ถือเป็นน้องรักทั้งคู่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็รู้ดีว่าจะเลือกใช้น้องคนไหนกับภารกิจแบบไหน
นี่อาจเป็นที่มาของ รอยยิ้มแก้มบุ๋ม ของ พล.อ.อุดมเดช ที่มีมากขึ้น พร้อมๆ กับงานที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ มากมาย เพราะนอกจากเป็นหัวหน้าส่วนงานหน่วยขึ้นตรงหัวหน้า คสช. และเลขาธิการ คสช. แล้ว ยังรับผิดชอบการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และแผนการพูดคุยสันติภาพ อีกด้วย
จะเห็นได้ว่า ในระยะหลังมานี้ พล.อ.ประยุทธ์ มักมอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดช เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) และ คสช. แทน และไปภารกิจต่างๆ แทน รวมถึงการเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
เพราะถึงอย่างไร พล.อ.อุดมเดช ก็ถือเป็นนายทหารในสายทหารเสือราชินี ที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ ใน ร.21 รอ. และโตใน พล.ร.2 รอ. ด้วยกันมา ไม่ใช่แค่กับ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น แต่กับบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. อีกด้วย
แม้ พล.อ.อุดมเดช จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นบูรพาพยัคฆ์เต็มตัวก็ตาม เพราะไม่ได้ขยับเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. แต่ข้ามไปเป็น ผบ.พล.ร.9 แต่เขาก็โตมาในหน่วยใต้การบังคับบัญชาของ พล.ร.2 รอ. และถือเป็นนายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ ด้วยเช่นกัน
แต่หากจะเรียกให้ตรงๆ ก็คือ เป็นทหารเสือราชินี เช่นเดียวกับนายทหาร 3 ป. แห่งบูรพาพยัคฆ์ คือ บิ๊กป้อม บิ๊กป๊อก และ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ล้วนแต่เคยเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. มาด้วยกันทั้งสิ้น
นอกจากนั้น ในแง่ของความชอบธรรมแล้ว พล.อ.อุดมเดช เป็น รอง ผบ.ทบ. ครองอัตราจอมพล อาวุโสกว่า และจ่อคิวอยู่แล้ว รวมทั้งเป็นนายทหารรุ่นพี่ ตท.14 ที่ติดชั้นยศต่างๆ ก่อน พล.อ.ไพบูลย์ ที่เป็นรุ่นน้อง ตท.15 ด้วย
แต่ พล.อ.ไพบูลย์ นั้นก็ถือว่าเป็นความหวังของวงศ์เทวัญ เพราะเขาเติบโตมาอย่างสวยงาม เป็นทั้ง ผบ.ร.11 รอ., ผบ.ร.1 รอ. เป็น ผบ.พล.1 รอ. รองแม่ทัพภาค 1 แม่ทัพภาค 1 และเป็น ผช.ผบ.ทบ. แต่ทว่ามีอายุราชการเหลือแค่ปีเดียว เกษียณกันยายน 2558 พร้อมกับ พล.อ.อุดมเดช
ที่สำคัญก็คือ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคนก็ส่งสัญญาณสนับสนุน พล.อ.อุดมเดช ให้เป็น ผบ.ทบ. แม้แต่ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ก็ชื่นชมเอ็นดู พล.อ.อุดมเดช มาตลอด โดยเรียกติดปากว่า "แม่ทัพโด่ง" และเห็นกันมาตั้งแต่ พล.อ.อุดมเดช เป็นนายทหารเสือราชินี ติดตามเสด็จฯ มาเลยทีเดียว
แม้ว่า พล.อ.เปรม เองก็จะเอ็นดู พล.อ.ไพบูลย์ ที่ป๋าเปรมเรียกติดปากว่า "แม่ทัพต๊อก คนเก่ง" ด้วยก็ตาม แต่ในเรื่องความเหมาะสมแล้ว พล.อ.อุดมเดช ได้เปรียบมากกว่า
บางฝ่ายอาจมองว่า พล.อ.ไพบูลย์ นายทหารสายบู๊ ดุ เด็ดขาด น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องจัดระเบียบ ปฏิรูป และจัดการกับกลุ่มต่อต้าน แต่ในบางมุมแล้ว นายทหารที่มีทั้งบู๊และบุ๋น ทั้งเด็ดขาด และอ่อนนุ่ม ในคนคนเดียวกัน อาจจะเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการสร้างความปรองดอง ก็เป็นได้
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ อาจต้องเลือกแค่คนใดคนหนึ่ง แต่ก็ต้องตอบแทนอีกคนหนึ่ง ไม่ให้รู้สึกด้อยค่า หรือพี่ไม่รัก โดยมีทางเลือกว่า การให้เป็นรัฐมนตรี ในรัฐบาล คสช. หรือการให้ขยับไปเป็นปลัดกลาโหม
ยิ่งเมื่อ คสช. ออกประกาศในการจัดโครงสร้างตำรวจและการโยกย้ายตำรวจใหม่ เมื่อ 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยเพิ่มปลัดกลาโหม ให้เป็นคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) แล้ว ตัด รมว.มหาดไทย และ รมว.ยุติธรรม ออก เพื่อไม่ให้การเมืองแทรกแซงตำรวจนั้น ก็ถูกมองว่าเป็นการเตรียมรองรับ ว่าใครจะเป็นปลัดกลาโหม คนใหม่ เพราะบิ๊กเต่า พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกลาโหม คนปัจจุบัน เพื่อน ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเกษียณกันยายนนี้ เช่นกัน
สูตรอำนาจเดิมก่อนการรัฐประหาร ที่ว่าจะให้ พล.อ.อุดมเดช เป็น ผบ.ทบ. แล้วให้ พล.อ.ไพบูลย์ ข้ามมาเป็นปลัดกลาโหม จึงสะพัดขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะถูกติงว่า พล.อ.ไพบูลย์ เป็นรุ่นน้อง ตท.15 ไม่ควรมายืนหัวแถวของข้าราชการประจำของกลาโหม
แต่ทว่า ก่อนหน้านี้บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ก็เคยเป็นนายทหารรุ่นน้อง ตท.14 ที่ขึ้นมาเป็นปลัดกลาโหม ยืนหัวแถว ผบ.เหล่าทัพรุ่นพี่ มาแล้ว
ส่วนในประเด็นที่ว่า พล.อ.ไพบูลย์ เป็นแค่ พลเอก ยังไม่ได้ครองอัตราจอมพลนั้น ในอดีต บิ๊กเล็ก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ก็ขึ้นจาก ผช.ผบ.ทบ. ข้ามมาเป็นปลัดกลาโหม มาแล้ว
แต่ไม่ว่าจะมีตำแหน่งในกองทัพตำแหน่งใด ก็ไม่มีผล หากว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว กำหนดให้ข้าราชการประจำสามารถเป็นรัฐมนตรีได้ ฝ่ายทหาร ฝ่าย คสช. ที่ยังไม่เกษียณราชการ ก็ไม่จำเป็นต้องลาออกจากข้าราชการ แต่ควบทั้งเก้าอี้ในกองทัพและรัฐมนตรี ได้เลย นั่นหมายถึงว่า พล.อ.ไพบูลย์ อาจจะควบเก้าอี้รัฐมนตรี ได้ด้วยเช่นกัน
โฉมหน้า ครม. ของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงถูกคาดการณ์ว่าจะเป็น ครม. ของข้าราชการ คนดีที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและมีความสามารถ เพราะทุกวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ให้ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวง ทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการแต่ละกระทรวง อยู่แล้ว
แต่ก็เชื่อกันว่า รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ น่าจะดึงมาจากทีมที่ปรึกษา คสช. ที่มีทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
แต่สายข่าวใกล้ชิด ระบุว่า พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษา คสช. และ พล.อ.อนุพงษ์ รองประธานที่ปรึกษา คสช. นั้น ไม่ขอที่จะรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีใดๆ แต่ต้องการช่วยอยู่เบื้องหลังเงียบๆ และไม่ต้องการให้ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร หรือรวมถึงที่เคยถูกกล่าวหาก่อนหน้านี้ ว่า อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. แม้ว่าจะถูกจับตามองว่าจะมาเป็น รมว.กลาโหม หรือไม่ แต่ก็คงไม่เหมาะ หาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกรัฐมนตรี แล้ว รมว.กลาโหม เป็นพี่ใหญ่ ดังนั้นโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะควบ รมว.กลาโหม ด้วย จึงมีสูงกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม การชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนต่อไป ยังไม่สิ้นสุด จนกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินและนำบัญชีรายชื่อโยกย้ายทหาร ขึ้นทูลเกล้าฯ โดยในเวลานี้ ผบ.เหล่าทัพ มีการจัดทำโผโยกย้ายทหารกันแล้ว
กระนั้น ทั้ง พล.อ.อุดมเดช และ พล.อ.ไพบูลย์ ก็ไม่ต้องการให้กองเชียร์สร้างความขัดแย้งแตกแยกขึ้นในกองทัพ เพราะให้เกียรติ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนตัดสินใจ
แต่ต้องยอมรับว่า กระแสข่าวการต่ออายุ ผบ.ทบ. เกิดขึ้น จากการที่ พล.อ.ไพบูลย์ ไปพูดที่ ปปส. ในตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ยอมเกษียณราชการ หากบ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย จนทำให้ถูกมองว่าสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต่ออายุราชการ
แต่ทว่า ตอนนี้นายทหารในกองทัพ ทั้ง ทบ., ทร., ทอ. เริ่มมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีการต่ออายุราชการ ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ หรือ ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ ที่จะต้องเกษียณราชการกันหมด แต่บางท่านอาจจะช่วยงานใน คสช. และร่วมเป็นรัฐมนตรี ต่อ
แต่ทว่า ภาพพจน์ของรัฐบาล คสช. ยิ่งหากมีนายกรัฐมนตรี ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยแล้ว ย่อมถูกมองว่า เป็นรัฐบาลทหาร
แม้ว่าในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จะมีการกำหนดหน้าที่ของรัฐบาลกับ คสช. แยกกันชัดเจน ว่ารัฐบาลทำหน้าที่บริหารประเทศ ส่วน คสช. ดูแลความมั่นคง และมีหน้าที่ในการเสนอแนะความคิดเห็น และร่วมประชุมกับรัฐบาลด้วย ก็ตาม แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะหมายถึงว่า รัฐบาลและ คสช. เป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ในแง่ภาพพจน์แล้ว นอกจากเป็นรัฐบาลทหารแล้ว ยังเป็นรัฐบาลเปลือกหอย ที่ครอบรัฐบาล คสช. อยู่อีกด้วย
ขณะที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ถูกจับตามองว่า ในจำนวน 200 คนนั้น จะมีสัดส่วนของทหาร ทั้งทหารในกองทัพ และเป็นอดีตนายทหารที่เกษียณราชการไปแล้ว อยู่ด้วยมากกว่า 30% ที่ก็จะทำให้ภาพรัฐบาล เป็นสีเขียว ครอบงำด้วยทหาร
แต่มาถึงนาทีนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ คงจะไม่สนแล้วว่าภาพพจน์จะเป็นรัฐบาลทหาร หรือสภานิติบัญญัติทหาร หรือไม่ เพราะเป้าหมายคือจะต้องปฏิรูปประเทศ จัดวางระบบต่างๆ ใหม่หมด
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จำต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรี เสียเอง เพื่อไม่ให้มานั่งเสียใจในภายหลังว่า รู้อย่างนี้เป็นเองไปแล้ว เหมือนอย่างที่บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คมช. เคยบ่นเสียดาย ที่ไปเลือกบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีของคณะปฏิวัติ
จึงไม่แปลกที่เวลานี้ ทำเนียบรัฐบาล จะมีการเตรียมพร้อมรับนายกรัฐมนตรี คนใหม่ และคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่ ในต้นเดือนกันยายนนี้ ตามโรดแม็ปของ คสช.
ทั้งการทำความสะอาด การปรับปรุงอาคาร และจัดสัดส่วนภายในทำเนียบรัฐบาลใหม่ รวมทั้งจัดระเบียบพื้นที่สื่อ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ทหารเป็นคนดำเนินการทั้งสิ้น
รวมถึงการให้ทหารช่างของกรมยุทธโยธา ทบ. ปรับปรุงบ้านพิษณุโลก เอาไว้เป็นที่ทำงานของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และสถานที่ประชุมส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการปรับปรุงห้องทำงานนายกรัฐมนตรี บนตึกไทยคู่ฟ้า แม้แต่ห้องน้ำ แบบไม่ให้มีร่องรอยของ นายกฯ หญิงคนก่อน เหลืออยู่
รวมถึงการส่งบิ๊กแขก พล.อ.สกล ชื่นตระกูล ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. ไปเป็นนายทหารประสานงาน คสช. กับรัฐบาล นั่งทำงานที่ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ตรงข้ามกับห้องทำงานนายกรัฐมนตรี
แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นดูจะถือเคล็ดในการที่ยังไม่ยอมเข้าทำเนียบรัฐบาล เพราะปฏิเสธทุกงานที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญ ทั้งพิธีบวงสรวงพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อ 14 กรกฎาคม และไม่มาร่วมงานเลี้ยงละศีลอด ที่มีทูตประเทศมุสลิมและผู้นำศาสนาอิสลาม ร่วมที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 15 กรกฎาคม โดยให้บิ๊กอู๋ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้นั่งทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล ดูแลแทน
จนร่ำลือกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ยอมเข้าทำเนียบรัฐบาล ที่เต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอาถรรพณ์ แห่งนี้เลย จนกว่าจะล้างอาถรรพณ์ หรือว่าได้ฤกษ์ได้ยามที่ดี หรือจนกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างเต็มภาคภูมิ
หรือ อาจจะไม่ย่างเหยียบเข้าไปเลย หากตัดสินใจยกเก้าอี้ นายกรัฐมนตรี ให้คนอื่น เพื่อเป็นผู้รับแรงปะทะ แรงกดดันทั้งหมดไปแทน เพื่อที่ชื่อ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ในใจคนไทยในยุคนี้ไปตลอดกาล เพราะใครๆ ก็บอกว่าการเป็นนายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง เท่านั้น
แต่ไหนๆ พล.อ.ประยุทธ์ ก็กล้ารัฐประหาร มาแล้ว มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกหรือ...
..............