- Details
- Category: สภาอุตสาหกรรม
- Published: Saturday, 09 July 2016 22:46
- Hits: 6830
ส.อ.ท.ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในอุตฯยานยนต์หลังโตโยต้าปลด พนง.แต่ห่วง Brexit ฉุดยอดส่งออก
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองกรณีโตโยต้าปลดคนงานเป็นปัญหาแค่ระยะสั้นชี้ยังไม่เห็นสัญญาณจากค่ายรถยนต์อื่นๆ เชื่อแนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะยังดีกว่าครึ่งปีแรกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้เกิดการลงทุนของเอกชนและนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานส.อ.ท.และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ถึงกรณีบริษัท โตโยต้า ปลดคนงานว่า ยังไม่ถือเป็นภาวะฟองสบู่แตกในอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะเป็นแค่เหตุการณ์สั้นๆ และมีเพียงโตโยต้าเท่านั้นที่ปลดคนงานออก แต่ก็รับปากว่าจะเรียกพนักงานเหล่านี้กลับมาเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ขณะที่ค่ายรถอื่นๆ ก็ยังเดินสายการผลิตไปตามปกติ
"ยังไม่มีเจ้าอื่นที่จะปลดคนงานอีก ฮอนด้าเพิ่งเริ่มการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่โรงงานแห่งใหม่ที่ปราจีนบุรีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และการส่งออกก็ดีขึ้นด้วย คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ขณะที่ค่ายอื่นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าดูจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยอดผลิตก็ดีขึ้นแล้ว เป็นบวก ถ้าเดือนมิถุนายนบวกอีก เป็นบวก 3 เดือนติดต่อกันก็พอจะวางใจได้"
"(โตโยต้า)เขาก็ดูแล้วว่า ตอนนี้คนงานมากเกินความจำเป็น ให้สมัครใจลาออกไปอยู่ที่บ้านก่อน แล้วค่อยเรียกกลับมาเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น การผลิตกลับคืนสู่ภาวะปกติ เหตุการณ์นี้คล้ายๆตอนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตอนนั้นก็มีโครงการสมัครใจลาออกแบบนี้ ให้คนงานกลับไปอยู่ที่บ้านก่อน แล้วอีก 6 เดือนให้หลังค่อยเรียกกลับมา ซึ่งตอนนั้นคนงานก็แฮปปี้เพราะได้เงินชดเชย ได้โบนัสกลับไป ยิ้มกันถ้วนหน้า"นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโตโยต้า เพราะเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วยอดขายรถยนต์ในประเทศค่อนข้างสูงมากผลจากมาตรการรถยนต์คันแรก ซึ่ง ณ ขณะนั้นมาตรการดังกล่าวมีคนตอบรับเป็นจำนวนมาก ยอดใบจองสูงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่วันนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรม เพราะกำลังซื้อถูกดึงไปใช้ตั้งแตึ่ครั้งนั้นไปมากแล้ว
ทั้งนี้ ในปี 55 ยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 1,400,000 กว่าคัน และปี 56 อีกราว 1,300,000 คัน รวม 2 ปียอดขายรถยนต์ในประเทศสูงถึง 2,700,000 คัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดไปจากภาวะปกติอย่างมาก แต่พอมาปี 57 ยอดขายในประเทศลดลงเหลือ 880,000 คัน เป็นการปรับลดลงมาอย่างรวดเร็ว หรือหายไปเกือบครึ่ง
ส่วนปีที่แล้วก็มียอดขายในประเทศราว 800,000 คัน และปีนี้ ส.อ.ท.ตั้งเป้าไว้ 750,000 คัน ผ่านไปครึ่งปีแรกเพิ่งขายได้ 302,581 คัน ซึ่งความต้องการลดลงอย่างเห็นได้ชัด
*เชื่อ H2/59 ดีกว่า H1/59
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ในปีนี้ ส.อ.ท.ตั้งเป้ายอดการผลิตรถยนต์ไว้ที่ 2 ล้านคัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 750,000-780,000 คัน และส่งออก 1,220,000-1,250,000 คัน โดย 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.59) ผลิตได้ 813,505 คัน (+3.82%) ยอดขายในประเทศ 302,581 คัน (-2.01%) และยอดส่งออก 487,798 คัน (-2%)
ทั้งนี้ ส.อ.ท.มองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก รับผลดีจากนโยบายของภาครัฐที่พยายามผลักดันให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ การปฏิรูปเศรษฐกิจ การสนับสนุน Startup & Innovation อีกทั้งนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แก้กฎแก้ระเบียบเพื่อจูงใจ ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ก็มีแผนจะผลักดันให้ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางในอนาคต
ประกอบกับ หากภาพรวมเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ประเทศไทยมีทิศทางเศรษฐกิจดีขึ้น สินค้าเกษตรดีขึ้น นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เอกชนลงทุนมากขึ้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนโยบายต่างๆของภาครัฐส่งผลชัดเจนก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต
"ดูแล้วก็น่าที่จะเริ่มดีขึ้นแล้ว ผมยังเชื่อว่าครึ่งปีหลังเราน่าจะยังดีกว่าครึ่งปีแรกด้วยซ้ำ ทั้งการผลิตและขายในประเทศ ทำให้เป้าหมายปีนี้เรายังเหมือนเดิมทั้งการผลิตและการขาย"นายสุรพงษ์ กล่าว
ส่วนผลกระทบจากกรณีสหราชอาณาจักรออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) นั้น ทาง ส.อ.ท.กำลังติดตามดูอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ของค่าเงินยูโรว่าจะอ่อนค่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าอ่อนค่ามาก อาจทำให้ราคารถยนต์ส่งออกจากไทยไปขายในตลาดยุโรปสูงขึ้นอีกประมาณ 10% จากราคาเดิม คาดว่าจะทำให้ยอดขายในยุโรปชะลอตัวลง 10% หรือประมาณ 10,000 คัน โดยเฉพาะรถอีโคคาร์ นอกจากนี้ก็ยังห่วง IMF จะปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก จาก 2.9% เหลือ 2.4% โดยยังจับตาดูปัจจัยนี้อยู่
ปัจจุบัน ไทยส่งออกรถยนต์ไปยุโรปในสัดส่วน 12% ของยอดส่งออกรถยนต์ทั้งหมด ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์ไปอังกฤษคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22% ของยอดส่งออกไปขายในตลาดยุโรป
อินโฟเควสท์