- Details
- Category: หอการค้า
- Published: Thursday, 12 October 2017 19:20
- Hits: 27189
ม.หอการค้าไทย เพิ่มเป้าจีดีพีไทยปี 60 เป็นโต 3.9% จากเดิมคาดโต 3.6% ส่วนส่งออกคาดโต 7.5% จากเดิม 2.4%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ม.หอการค้าไทยได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.9% จากประมาณการเดิมที่ 3.6% เนื่องจากความเชื่อมั่นของภาคประชาชนมองว่า เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวดี นอกจากนี้ ยังมีแรงสนับสนุนจากการที่นายกรัฐมนตรี ได้ระบุว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงปี 2561 ด้วย ส่วนนปี 2561 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.2% และในปี 2562 ขยายตัว 4.5% ก่อนจะเพิ่มเป็น 5.1% ในปี 2564
ขณะที่ภาคการส่งออก ปีนี้ได้ปรับประมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 7.5% จากเดิมคาดที่ 2.4% ส่วนปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.3% ก่อนที่จะขยายตัวได้ 5.2% ในปี 2564การนำเข้าปีนี้ปรับเพิ่มประมาณการเป็นขยายตัว 11.4% จากเดิมที่ 7.7% ส่วนปี 2561 คาด ขยายตัว 4.7% ด้านดุลการค้าคาดปีนี้เกินดุล 31.4 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมคาด 27.1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้คาดว่าจะเกินดุล 42.6 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เกินดุล 36.3 พันล้านดอลลาร์
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.6% จากเดิมคาด 1.5% และคาดว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มเป็น 3% ในปี 2564 ส่วนการบริโภคภาคเอกชนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.2% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการก่อนหน้าที่คาดด 2.3% และการลงทุนเอกชนปีนี้จะอยู่ที่ 1.8% จากเดิมที่ 0.6%
อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทย ได้คาดการณ์ว่าปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ก่อนที่ปี 2561 มีโอกาสปรับเพิ่ม 1 ครั้ง ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ หรือ เฟด คาดว่าจะปรับขึ้นในปีนี้อีก 1 ครั้ง นอกจากนี้ ยังได้ประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้ที่ 45-55 ดอลลาร์ต่อบาเรล อัตราแลกเปลี่ยนคาดอยู่ที่ 33-35 บาทต่อดอลลาร์ และปีหน้าคาดจะอยู่ที่ 33.5-35.5 บาทต่อดอลลาร์
“เรามองว่า จะเห็นกนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วง ไตรมาส 2/2561 และเห็นเป็นดอกเบี้ยขาขึ้นตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีด้วย โดยมองว่า เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์”นายธนวรรธน์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.3% โดยไตรมาส 3 จะขยายตัว 4.2% และ 4.4% ในไตรมาส 3 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการส่งออก ท่องเที่ยวที่จะได้อานิสงส์ดีจากการปลดธงแดงจาก ICAO ด้วย แต่ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องจับตามอง คือ นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ การปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เศรษฐกิจจีนที่ยังขยายตัวต่ำกว่าระดับศักยภาพ การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ส่งผลทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน และสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยกู้ และกำลังการผลิตส่วนเกินยังอยู่ในระดับสูง มาตรการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว
“นอกจากนี้ ยังต้องจับตาดู ว่า ในช่วงปลายปีนี้ แม้ว่าจะประเมินว่ากิจกรรมทางจีดีพีน่าจะคึกคัก โดยเฉพาะด้านการจับจ่ายใช้สอน ผ่านบัตรสวัสดิการคนจนนั้นที่จะมีเม็ดเงินในการใช้จ่าย 3,000-4,000 ล้านบาทต่อเดือน ดัชนีตลาดหุ้นแตะไปที่ 1,700 จุด ที่ทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงินนอกงบประมาณในส่วนรัฐวิสาหกิจที่จะเงินลงทุน 200,000-300,000 ล้านบาท จะเป็นแรงส่งสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาว่า ในช่วงปลายปีนี้ รัฐบาลจะออกมาตรการช็อปช่วยชาติเข้ามากระตุ้นหรือไม่”นายธนวรรธน์ กล่าว