- Details
- Category: EEC เมกะโปรเจกต์
- Published: Saturday, 24 June 2017 19:56
- Hits: 4826
TMB ประเมินเงินอัดฉีด EEC ดันเศรษฐกิจภาคต.อ.โตจากปกติ-หนุนรายได้ SME เพิ่ม, ธุรกิจเกี่ยวเนื่องยานยนต์เป็นดาวเด่น
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินเงินอัดฉีดโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ดันเศรษฐกิจภาคตะวันออกโตขึ้นจากปกติอีก 1.7% ต่อปี สร้างโอกาสให้ SME เพิ่มรายได้ปีละ 6 หมื่นล้านบาท คาด 70% ตกสู่มือผู้ประกอบการรายย่อยที่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและต่อยอด S-Curve เดิม
ทั้งนี้ “ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)"เปรียบเสมือน Gateway สู่คาบสมุทรอินโดจีนเป็นทำเลยุทธศาสตร์สำคัญที่ไทยยังมีโอกาสพัฒนาให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจชั้นแนวหน้าดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนและใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตหากเร่งรัดให้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่กลางปีนี้ไปจะส่งให้เศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตเพิ่มได้อีกร้อยละ 1.7 ต่อปี
ศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ประเมินผลแผนการลงทุนผ่านตารางปัจจัยการผลิต (I-Otable ปี 2553) ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเมื่อรัฐทยอยอัดฉีดเม็ดเงินพัฒนาถนน รถไฟ ท่าเรือ และสนามบินเพื่อส่งให้ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เป็นศูนย์กลางการขนส่ง กระจายสินค้า ท่องเที่ยว และที่ตั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)
คว้าโอกาสผลักตนเองเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตและเติบโตตามอุตสาหกรรมเป้าหมายขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนได้สำเร็จ จะดันให้รายได้ของ SME ซึ่งคาดว่าปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.02 ล้านล้านบาทต่อปี เติบโตขึ้นเป็น 1.08 ล้านล้านบาทในปี 2561
สำหรับ SME ดาวเด่นที่ได้รับอานิสงค์สูงสุดคือ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่ากลุ่มนี้จะมีส่วนแบ่งจากรายได้ส่วนเพิ่มถึง 11% รองลงมาคือธุรกิจค้าปลีกเครื่องอุปโภค/บริโภค ได้ส่วนแบ่ง 9% ตามด้วย 3 ประเภทธุรกิจที่ได้รับส่วนแบ่งเท่าๆ กันที่ 8% คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเหล็ก ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งงานระบบ และธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักรกล อันดับต่อมาคือ ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้ส่วนแบ่ง 7% ต่อด้วยธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีส่วนแบ่ง 6% และสุดท้ายได้ส่วนแบ่งที่ 4% เท่าๆ กันคือ งานบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์และอสังหาริมทรัพย์ โดยธุรกิจ 10 ประเภทที่กล่าวข้างต้นมีส่วนแบ่งรวมกันกว่า 70% ของรายได้ส่วนเพิ่มที่จะส่งถึงมือ SME
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าแม้มีโอกาสปูพรมแดงมาให้แต่ปัญหาสำคัญยังคงอยู่ที่การปรับตัวของผู้ประกอบการ SME ซึ่งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ ช่วยเหลือและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องการนำนวัตกรรม การตลาด Online E-Commerce และ E-Payment มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการรายเล็ก ยังถูกรุมเร้าจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น การมีเงินทุนจำกัดหรือเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจกำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวช้าและกระจุกอยู่บางพื้นที่ ผู้สนใจลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายยัง ไม่มีกรอบระยะเวลาการลงทุนที่ชัดเจน กดดันให้ผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจยังอยู่กับที่ด้วยวิธีการเดิมๆ ซึ่งหากเหตุการณ์และความกังวลนี้ยังดำเนินต่อไปในระยะยาว เมื่อผนวกเข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตไปอย่างรวดเร็ว ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ การรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขันได้ เพราะทัศนคติเชิงบวก ความไม่ยอมแพ้ไม่นิ่งนอนใจและพยายามปรับตัวให้สินค้าตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงใจอย่างรวดเร็วนั้นจะมีผลสัมฤทธิ์กว่าและเป็นครื่องมือที่ดียิ่งยวดที่จะช่วยให้ SME รอดพ้นวิกฤตอย่างถาวรยังประโยชน์ให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จในที่สุด
อินโฟเควสท์
รมว.อุตสาหกรรม ให้ข้อมูลบลูมเบิร์ก ชี้ EEC จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางศก.ครั้งใหญ่ในไทย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายอุตตมะ สาวนายนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของไทยกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล จะก่อให้เกิดการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย และทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างยั่งยืนในระดับสูง
โดยนายอุตตมะ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กวันนี้ว่า โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทยให้มีมาตรฐานทัดเทียมกับมาตรฐานระดับโลก และจะทำให้พื้นที่ที่อยู่ภายใต้การพัฒนาเป็นชุมชนเศรษฐกิจระดับโลก ขณะที่การดำเนินการตามแผนมีความคืบหน้าไปด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดรูปแบบการพัฒนาท่าอากาศยาน การกำหนดพื้่นที่อุตสาหกรรม การพัฒนาการคมนาคมระบบราง และการพัฒนาการศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายไทยแลนด์ 4.0
ขณะเดียวกัน นายอุตตมะ คาดว่า การลงทุนในอีอีซีจะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป และคาดว่า จะมีการลงทุนราว 44 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยการลงทุน 80% จะมาจากภาคเอกชน ขณะที่ภาครัฐจะอำนวยความสะดวกในด้านที่จำเป็นต่างๆ
นอกจากนี้ นายอุตตมะกล่าวว่า โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นโครงการที่เชื่อมโยง และคำนึงถึงความร่วมมือกับโครงการทางสายไหมของจีน รวมถึงโครงการพัฒนาเศรษฐกิจอื่นๆของอาเซียน เพื่อให้เกิดความสำเร็จทางเศรษฐกิจร่วมกันในระดับภูมิภาคและในระดับสากล
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย