- Details
- Category: สภาหอการค้าไทย
- Published: Sunday, 21 November 2021 15:47
- Hits: 10266
ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทาย (BCG ,พลังงาน)'
โดย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.30 -11.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรุงเทพมหานคร
ขอบคุณหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและพันธมิตร ที่ช่วยรัฐบาลในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิด -19 ที่ผ่านมา รัฐบาลตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีน 70 % ของประชากรในสิ้นปี เพื่อรองรับการเปิดประเทศที่รัฐบาลได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พ.ย ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และนักลงทุน นักท่องเที่ยว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอก โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งได้ส่งผลเชิงบวกในปัจจุบัน
รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมให้ธุรกิจมีการขยายตัวและเกิดความยั่งยืน ประกอบด้วย
- ระยะสั้น
รัฐบาลตั้งเป้าการฉีดวัคซีนไว้ 120 ล้านโดส โดย 60-90 ล้านโดส มีการลงนามสัญญาเป็นทีเรียบบร้อยแล้วและจะทยอยเข้ามาในสิ้นปี เพื่อใช้เป็นวัคซีน booster dose ทำให้มั่นใจว่าการเปิดประเทศจะส่งผลต่อเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ นอกจากนั้น ยังได้จัดเตรียมยาเพื่อป้องก้นและรักษาผู้ติดเชื้อโควิดและลดการสูญเสียเพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาว
2.1) รัฐบาลได้เร่งพลิกโฉมประเทศโดยมีการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบรางคู่ ถนน 4 เลน ที่มีการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานไว้ทั่วประเทศไม่เฉพาะพื้นที่ EEC เท่านั้น การเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านในเส้นทางต่างๆ คาดว่า 4-5 ปีผลของการวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะเห็นผลชัดมากขึ้น
2.2) การปูพื้นฐานเศรษฐกิจใหม่ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเป็นสมาชิกสังคมโลกในการแก้ไขป้ญหาโลกร้อน COP 26 ประเทศไทยเราติดอันดับต้นๆ ของโลกที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกว่า 300 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 7-8 แสนล้านบาท/ปี ( carbon credits) และเป็นเงื่อนไขของหลายประเทศในการค้าขายกับประเทศไทย ในปี 2065 ประเทศไทยประกาศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ระดับเป็นกลาง และเน้นการใช้พลังงานสะอาดมาแทนมากขึ้น จะมีการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัย การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตมาใช้มากขึ้น
2.3) รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพำนักระยะยาวในประเทศใน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีความมั่งคั่งทางรายได้ ,กลุ่มผู้มีความรู้, กลุ่มเกษียนอายุ และเด็กรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ประเทศไทยต้องการคนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาประเทศไทย โดย ครม.อนุมัติตั้งเป้าหมาย 4 กลุ่ม รวม 1 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการค้า บริการ และอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคต
รัฐบาลได้มีการจัดเตรียมระบบนิเวศ (ecosystem) รองรับการพัฒนาประเทศในเรื่องต่างๆ เช่น ศูนย์ EECI เพื่อรองรับการพัฒนาด้าน Innovation พัฒนาสินค้าและบริการของประเทศให้สามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ดี ภาคเอกชนจะต้องใช้ ecosystem สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มาพัฒนาสินค้าและบริการของตนเองให้ได้ประโยชน์สูงสุด
การประชุม ครม.สัญจรจังหวัดกระบีที่ผ่านมา ได้เห็นรูปแบบโครงการซึ่งเป็นข้อเสนอภาคเอกชน กลุ่มจังหวัดที่มีการตกผลึกกำหนดเป้าหมาย positioning พื้นที่ให้สอดคล้องกับการเปิดประเทศ ซึ่งมีความชัดเจนในเรื่องของเป้าหมายโครงการ ที่จะส่งผลต่อพื้นที่และสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนนำไปสู่การอนุมัติให้ความเห็นชอบจากรัฐบาล และสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการ เช่นเดียวกันกับ Phuket Sandbox ที่มีเป้าหมายชัดเจนและเป็นแบบอย่างการจัดการพื้นที่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดได้อย่างเห็นผลและเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
รัฐบาลอยากเห็นภาคเอกชน โดยเฉพาะหอการค้าไทยและหอการค้าจังหวัดได้ร่วมกันคิดโครงการพัฒนาพื้นที่เพือการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายใต้บริบทความต้องการและสอดคล้องกับการเปิดประเทศในปัจจุบัน โดยต้องมีความชัดเจนว่าโครงการนั้นจะทำอะไร และส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ และต้องการให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือเรื่องอะไร รัฐบาลมีความยินดีที่จะสนับสนุนภาคเอกชนเพื่อให้การเปิดประเทศเป็นเครื่องมือการสร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจ และให้ประเทศฟื้นตัวโดยเร็ว
ขอให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ YEC ได้กลับไปดูว่าจะสร้างหรือพัฒนาสินค้าบริการอะไรในพื้นทีของตนเองเพื่อให้เป็นอัตลักษณ์ (Identity) สร้างรายได้และเกิดการจ้างงานในพื้นที่ รวมตลอดจนกิจกรรมโครงการต่างๆ ที่หอการค้าได้ดำเนินการเพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพภาคธุรกิจในพื้นที่ อาทิ โครงการ Big Brother เป็นต้น
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ