ในคราวการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (UNCSD 2012 หรือ Rio+20) ณ นครริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 20-22 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามในปฎิญญาว่าด้วยทุนธรรมชาติ (Natural Capital Declaration) ของ 39 สถาบันการเงิน (เช่น IFC, Nedbank, China Merchant Bank,) และอีก 50 ประเทศ (เช่น สวีเดน, ฟิลิปปินส์, แอฟริกาใต้, อังกฤษ, นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์ และเวียดนาม) รวมถึงบริษัทผู้ผลิตสินค้าอย่าง Unilever, Puma และ Dow Chemical

      ทุนธรรมชาติประกอบด้วยทรัพย์สินทางธรรมชาติ (ดิน, น้ำ, อากาศ, ต้นไม้ และสัตว์) และการบริการของระบบนิเวศน์ ซึ่งทำให้เกิดอาหาร พลังงาน สุขภาพ สภาพภูมิอากาศ ฯ อันทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และหากประเมินทุนธรรมชาติเป็นมูลค่าจะมีนับล้านล้านดอลล่าร์ต่อปี

      แต่เนื่องจากการผลิตและการบริโภคของมนุษยชาติในปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืนแก่ทุนธรรมชาติ จึงควรสร้างความตระหนักและนำการใช้ทุนธรรมชาติรวมในต้นทุนการประกอบการด้วย เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต

     แนวทางดำเนินการตามปฎิญญานี้ รัฐต้องมี framework ที่ชัดเจนและเชื่อถือได้เพื่อกำกับและจูงใจให้ภาคเอกชนใช้ทุนธรรมชาติอย่างมีความรับผิดชอบ อาทิ

     1) การจัดทำรายงานการใช้ทุนธรรมชาติอย่างมีคุณภาพและโปร่งใส
     2) การใช้มาตรการการคลังเพื่อจูงใจบริษัทที่รวมทุนธรรมชาติเข้าใน business model และบั่นทอนบริษัทที่ทำลายทุนธรรมชาติ

     ประเด็นเรื่อง'ทุนธรรมชาติ' จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องติดตามเพื่อเตรียมปรับตัวทางธุรกิจครับ