- Details
- Category: USA
- Published: Saturday, 15 April 2017 00:23
- Hits: 13271
ทรัมป์ เผยแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอาจมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวในการประชุม 'CEO town hall'ซึ่งมีบรรดาผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าร่วมประชุมด้วย ว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลกำลังวางแผนเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสะพาน โดยคาดว่าแผนการดังกล่าวอาจมีมูลค่าอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังมีแผนเร่งขั้นตอนการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้วย พร้อมจัดสรรงบสนับสนุนหากโครงการเหล่านี้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว
ด้านนางอีเลน เชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมสหรัฐ เปิดเผยว่า แผนการดังกล่าวอาจปรากฏให้เห็นในเดือนหน้า โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 10 ปี อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะหาเงินอุดหนุนโครงการเหล่านี้ได้อย่างไร
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์เคยประกาศไว้สมัยหาเสียงว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดีแล้วจะจัดสรรงบประมาณในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสูงสุดถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ชี้สหรัฐต้องไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งหมายความว่า งบประมาณส่วนนี้ท้ายที่สุดแล้วจะช่วยส่งเสริมการจ้างงานในประเทศ เสริมสร้างรายได้ และหนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อไป
ทรัมป์ ลั่นควบคุมต้นทุนโครงการสร้างกำแพงไม่ให้สูงเกินไป
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ เปิดเผยว่า เขาจะดำเนินการควบคุมต้นทุนในโครงการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกไม่ให้สูงจนเกินไป หลังจากที่มีหลายฝ่ายออกมาประเมินก่อนหน้านี้ว่า งบประมาณในการก่อสร้างกำแพงอาจพุ่งสูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความลงในทวิตเตอร์ส่วนตัว (@realDonaldTrump) ว่า "ผมได้อ่านความเห็นต่างๆที่ระบุว่า การก่อสร้างกำแพงอาจต้องใช้เงินทุนมากกว่าที่รัฐบาลได้ประมาณการไว้ในตอนแรก แต่จนขณะนี้ ผมยังไม่ได้เข้าไปไม่มีส่วนร่วมในการออกแบบหรือเจรจาเรื่องราคาเลย ถ้าผมได้ทำเมื่อไหร่ ก็จะเหมือนกับโครงการเครื่องบินขับไล่ F-35 หรือ เครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน นั่นแหละ ราคาจะปรับตัวลดลงมา"
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกนั้น นับเป็นหนึ่งในโครงการที่สำคัญที่สุดที่นายทรัมป์ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสกัดการอพยพเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย และป้องกันการลักลอบค้าหรือขนถ่ายยาเสพติดข้ามชายแดน
อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน ปธน.ทรัมป์ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณก่อสร้างที่แท้จริง แต่จากการประเมินเบื้องต้นโดยสมาคมคอนกรีตสำเร็จรูปแห่งชาติสหรัฐนั้น มีมูลค่าอยู่ที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์
อินโฟเควสท์
ทรัมป์ ส่งสัญญาณแก้ไขกฏหมายดอดด์-แฟรงค์ หวังธนาคารปล่อยกู้สะดวกขึ้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในวันนี้ว่า รัฐบาลของเขากำลังเตรียมการแก้ไขกฏหมายดอดด์-แฟรงค์เพื่อให้ธนาคารต่างๆสามารถปล่อยกู้ได้สะดวกขึ้น
"เรากำลังจะทำในสิ่งที่ดีมากสำหรับภาคธนาคาร เพื่อให้ธนาคารต่างๆสามารถปล่อยเงินกู้แก่ผู้ที่มีความต้องการ" ปธน.ทรัมป์กล่าวต่อผู้นำภาคธุรกิจจากนิวยอร์กที่มาประชุมที่ทำเนียบขาว
"เราจะทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ โดยเราต้องการกฎระเบียบที่มีความเข้มงวด แต่ไม่ใช่กฎระเบียบที่ขัดขวางธนาคารไม่ให้ปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ที่จะสร้างงานในระบบเศรษฐกิจ"เขากล่าว
ทั้งนี้ กฏหมายดอดด์-แฟรงค์ เป็นกฏหมายที่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เคยใช้กู้วิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2007-2009 โดยกำหนดให้มีความเข้มงวดในการทำธุรกรรมทางการเงินในด้านต่างๆ เช่น การปล่อยสินเชื่อ การเปิดเผยข้อมูลกองทุนเฮดจ์ฟันด์ การลงทุนของกลุ่มสถาบันการเงิน รวมถึงการทำธุรกรรมตราสารอนุพันธ์
สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าคาด ขณะอัตราว่างงานร่วงลงสู่ 4.5%
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 98,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 219,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2007
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.7%
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 89,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 9,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนม.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 216,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 238,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.พ. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 219,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 235,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. เทียบกับระดับ 0.3% ในเดือนก.พ.
ทั้งนี้ ตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด ทรงตัวที่ระดับ 63.0% ในเดือนมี.ค.
สหรัฐเผยขาดดุลการค้าลดลงในเดือนก.พ. ขณะส่งออกพุ่งสูงสุดรอบ 2 ปี
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐดิ่งลงอย่างมากในเดือนก.พ. ขณะที่การนำเข้าจากจีนลดลงมากเป็นประวัติการณ์ และการส่งออกของสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี และเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลการค้าลดลง 9.6% ในเดือนก.พ. สู่ระดับ 4.36 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากที่ขาดดุล 4.82 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลการค้าลดลงสู่ระดับ 4.48 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.
หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐจะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.97 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. จากระดับ 6.51 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค.
สหรัฐส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 1.929 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2014 นำโดยการส่งออกรถยนต์ และอะไหล่ ซึ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2014
สหรัฐนำเข้าสินค้าและบริการลดลง 1.8% สู่ระดับ 2.364 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.
ทั้งนี้ สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนลดลง 26.6% สู่ระดับ 2.30 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. ขณะที่มูลค่าการนำเข้าจากจีนลดลง 8.6 พันล้านดอลลาร์ นำโดยการลดลงของการนำเข้าโทรศัพท์มือถือ
นายกฯ ให้เตรียมรับมือกรณีทรัมป์สั่งตรวจสอบประเทศที่สหรัฐฯขาดดุล-รอดูท่าทีอีก 15 ประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะลงนามคำสั่งทางปกครองให้ตรวจสอบประเทศที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้า 16 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยว่า ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็น เนื่องจากเรื่องนี้ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ แต่อย่างไรก็ดี ได้สั่งการให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการรับมือแล้ว และจะต้องรอดูว่าอีก 15 ประเทศจะมีท่าทีในเรื่องนี้อย่างไร
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน ซึ่งมีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง ดังนั้นจึงถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ที่มีมายาวนาน
อินโฟเควสท์