- Details
- Category: CHINA
- Published: Tuesday, 28 May 2024 23:41
- Hits: 5047
เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์แห่งประเทศไทย
เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียงได้รับเชิญให้กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์แห่งประเทศไทย ในหัวข้อ ‘สถานการณ์การพัฒนาของจีนและโอกาสของจีน’ โดยมีดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ อาจารย์ ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ ที่ปรึกษาหลักสูตร และตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรอุตสาหกรรมและธุรกิจของไทยจำนวน 100 กว่าคนได้เข้าร่วมงาน
นายหาน กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพและมีแนวโน้มดีขึ้น เพื่อนมิตรหลายท่านคุ้นเคยกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงของจีน อย่างไรก็ตาม เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว เศรษฐกิจของจีนเปลี่ยนจากการพัฒนาในอัตราสูงไปสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในเวทีความคิดเห็นสาธารณะของชาติตะวันตก ผู้คนต่างพูดคุยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีการล่มสลายทางเศรษฐกิจของจีน’ และ ‘ทฤษฎีการพัฒนาของจีนถึงจุดสูงสุดแล้ว’ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ
ขณะนี้เศรษฐกิจของโลกอยู่ในช่วงขาลง และทุกประเทศกำลังเผชิญกับความยากลำบากบางประการ และจีนก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของจีนมีข้อได้เปรียบหลายประการ รวมถึงรากฐานที่มั่นคง ข้อได้เปรียบหลายอย่าง ความยืดหยุ่นสูง ศักยภาพที่แข็งแกร่ง และมีอนาคตที่สดใส
นายหาน กล่าวว่า ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เสนอให้เร่งการพัฒนา 'กำลังการผลิตที่มีคุณภาพใหม่' ซึ่งก็คือการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกิดใหม่และการยกระดับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม และการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ผ่านนวัตกรรมและการปฏิรูป ตลอดจนยกระดับผลิตภาพโดยรวม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงยุทธศาสตร์ของจีนมีการพัฒนา และอุตสาหกรรมในอนาคตก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง กำลังผลิตที่มีคุณภาพใหม่ ได้ถูกสร้างขึ้นในทางปฏิบัติ และได้แสดงให้เห็นถึงแรงผลักดันที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพสูง ในอนาคต ซึ่งจะสร้างพลังใหม่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาและเปิดพื้นที่ใหม่สำหรับการพัฒนาของจีน
นายหาน กล่าวว่า จีนมุ่งที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น จีนถือว่าการเปิดประเทศเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับชาติขั้นพื้นฐาน และนำมาตรการทางนโยบายต่างๆ ที่ครอบคลุมและเป็นระบบมาใช้เพื่อส่งเสริมการเปิดประเทศให้กว้างมากยิ่งขึ้น ปกป้องระบบการค้าเสรีทั่วโลกอย่างแข็งขัน และมีส่วนร่วมในข้อตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาค ทวิภาคี และพหุภาคี ได้จัดตั้งเขตนำร่องการค้าเสรีภายในประเทศ จัดงานมหกรรมสินค้านำเข้าของจีน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างจีนและต่างประเทศอย่างจริงจัง ประตูแห่งการเปิดกว้างของจีนจะเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ
นายหาน กล่าวว่า การพัฒนาของจีนมีส่วนทำให้เกิดสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก จีนยึดมั่นในการพัฒนาอย่างสันติและสนับสนุนการเคารพซึ่งกันและกันและความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จีนต่อต้านลัทธิเอกภาคีนิยมและการเมืองยึดถืออำนาจเป็นใหญ่ และสนับสนุนให้ละทิ้งแนวคิดแบบสงครามเย็นและการเผชิญหน้ากัน และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นประชาธิปไตย จีนค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาประเด็นร้อนที่มีลักษณะเฉพาะของจีนอย่างแข็งขัน
จีนสนับสนุนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม แบ่งปันโอกาสและประโยชน์จากการพัฒนาและการเปิดกว้างของจีนเอง ทั้งยังต่อต้าน ‘การตัดขาดจากกัน’ และ’การทำลายความเชื่อมโยง’ รวมถึงมาตรการเลวร้ายอื่นๆ ที่ขัดขวางระเบียบของตลาดระหว่างประเทศและเป็นอันตรายต่อการพัฒนาโลก จีนรักษาอัตราการมีส่วนช่วยเศรษฐกิจโลกเติบโตมากกว่า 30% เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน และจะเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการพัฒนาโลก
นายหาน กล่าวว่า ความร่วมมือจีน-ไทยมีอนาคตที่สดใส จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย เป็นแหล่งลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญที่สุด และเป็นตลาดแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุด ภายใต้สถานการณ์โลกที่ซับซ้อนและรุนแรงในปัจจุบัน จีนและไทยจำเป็นต้องเสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันทางการเมือง และสามารถเป็นที่พึ่งพากันได้ในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเสถียรภาพของชาติ เมื่อเผชิญกับปัจจัยระหว่างประเทศและภูมิภาคที่ซับซ้อน จีนและไทยจำเป็นต้องขจัดการแทรกแซงและอิทธิพลจากด้านอื่นๆ กระชับความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันอย่างแข็งขัน ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสันติภาพและการพัฒนาในภูมิภาค และบรรลุความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
นายหาน ยังตอบคำถามเกี่ยวกับการพัฒนาของเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทศโนโลยี ปัญหาอสังหาริมทรัพย์และสถานการณ์การเงินของจีน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า การเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน การลงทุนในอุตสาหกรรม ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการไปมาหาสู่กันของประชาชนระหว่างจีน-ไทย
สถานการณ์การพัฒนาของจีนและโอกาสของจีน
สุนทรพจน์ของนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
ผมมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยือนสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์อีกครั้ง นิด้าเป็นสถาบันอุดมศึกษาสำคัญในการผลิตข้าราชการ นักวิชาการด้านนโยบายสาธารณะและผู้บริหารระดับสูงของไทย ผมเชื่อว่าทุกท่านมีความสนใจและคอยติดตามการพัฒนาของจีนและความสัมพันธ์จีน-ไทย ครั้งนี้ ผมจะบรรยายในหัวข้อ ‘สถานการณ์การพัฒนาของจีนและโอกาสของจีน’ เพื่อแบ่งปันสถานการณ์และความคิดเห็นบางประการกับท่านทั้งหลาย
1. สถานการณ์เศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพและมีแนวโน้มดีขึ้น
ปีที่แล้วเศรษฐกิจของจีนขยายตัว 5.2% ซึ่งเป็นผู้นำประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกที่มีอัตราการเติบโต ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจของจีนขยายตัว 5.3% โดยยังคงการเติบโตที่มีเสถียรภาพและมีแนวโน้มดีขึ้นเพื่อนมิตรหลายท่านคุ้นเคยกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงของจีน อัตราการเติบโตเฉลี่ยของเราในช่วงสี่ทศวรรษนับตั้งแต่การปฏิรูปและการเปิดประเทศอยู่ที่ 9.4%
อย่างไรก็ตาม เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว เศรษฐกิจของจีนเปลี่ยนจากการพัฒนาในอัตราสูงไปสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง ตั้งแต่ปี 2556 ถึงปี 2565 อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนอยู่ที่ 6% GDP รวมของจีนขณะนี้อยู่ที่ 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่ากับ GDP รวมของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก
สำหรับ เศรษฐกิจขนาดใหญ่เช่นนี้การรักษาอัตราการเติบโต 5-6% ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งและไม่มีประเทศใดสามารถเทียบได้ อย่างไรก็ตาม มีบางคนในโลกที่มองจีนด้วยมุมมองที่เป็นอคติ เมื่อเห็นว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนไม่สูงเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาก็เริ่มพูดจาไม่ดีต่อจีน ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในเวทีความคิดเห็นสาธารณะของชาติตะวันตก
ผู้คนต่างพูดคุยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับ’ทฤษฎีการล่มสลายทางเศรษฐกิจของจีน’ และ’ทฤษฎีการพัฒนาของจีนถึงจุดสูงสุดแล้ว’ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ ขณะนี้เศรษฐกิจของโลกอยู่ในช่วงขาลง และทุกประเทศกำลังเผชิญกับความยากลำบากบางประการ และจีนก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของจีนมีข้อได้เปรียบหลายประการ รวมถึงรากฐานที่มั่นคง ข้อได้เปรียบหลายอย่าง ความยืดหยุ่นสูง ศักยภาพที่แข็งแกร่ง และมีอนาคตที่สดใส
2. สร้างกำลังผลิตคุณภาพใหม่และการพัฒนาคุณภาพสูง
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เสนอให้เร่งการพัฒนา'กำลังการผลิตที่มีคุณภาพใหม่' ซึ่งก็คือการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกิดใหม่และการยกระดับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม และการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ผ่านนวัตกรรมและการปฏิรูป ตลอดจนยกระดับผลิตภาพโดยรวม นี่เป็นคำอธิบายที่สำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับแนวคิดเชิงกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของจีน
หลังจากที่ท่านเสนอแนวคิดการพัฒนาใหม่ ได้แก่ นวัตกรรม สมดุล สีเขียว การเปิดกว้างและการแบ่งปันในเดือนตุลาคม 2558 และเป้าหมายใหม่ของการพัฒนาคุณภาพสูงในปี 2560 นอกจากนี้ยังเป็นแนวทางที่สำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคตของจีน ยังเป็นการยืนยันเส้นทางการพัฒนาครั้งล่าสุดของจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงยุทธศาสตร์ของจีนมีการพัฒนา และอุตสาหกรรมในอนาคตก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง บริษัทอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์เกิดใหม่ของจีนเติบโตขึ้นจนมีมากกว่า 2 ล้านราย และผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 7.6% เป็น 13% ของ GDP ในระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา 5G คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม และผู้ใช้ IoT บนมือถือมีจำนวนถึง 2.148 พันล้านคน
นับเป็นเศรษฐกิจหลักแห่งแรกของโลกผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ ‘สิ่งของ’ มีจำนวนมากกว่าผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ’คน’บริษัทอัจฉริยะเพิ่มขึ้นเป็น 4,400 แห่ง และจำนวนการติดตั้งหุ่นยนต์คิดเป็น 52% ของโลก การผลิตและการขายรถยนต์ไฟฟ้าต่อเดือนเกินกว่าหนึ่งล้านคัน และกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่ติดตั้งใหม่ของโลกจะอยู่ที่ 510 ล้านกิโลวัตต์ในปี 2566 ซึ่งจีนจะมีสัดส่วนเกิน50% กำลังผลิตที่มีคุณภาพใหม่ ได้ถูกสร้างขึ้นในทางปฏิบัติ และได้แสดงให้เห็นถึงแรงผลักดันที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพสูง ในอนาคต ซึ่งจะสร้างพลังใหม่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาและเปิดพื้นที่ใหม่สำหรับการพัฒนาของจีน
3. สร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
ประตูแห่งการเปิดกว้างของจีนจะเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เน้นย้ำหลายครั้งว่า “การเปิดกว้างนำมา ซึ่งความก้าวหน้า ในขณะที่การปิดกั้นตัวเองย่อมนำไปสู่ความล้าหลัง และ ‘การเปิดกว้างเป็นหนทางเดียวสำหรับประเทศที่จะเจริญรุ่งเรืองและพัฒนา’ ด้วยเหตุนี้ จีนจึงถือว่าการเปิดประเทศเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับชาติขั้นพื้นฐาน และนำมาตรการทางนโยบายต่างๆ ที่ครอบคลุมและเป็นระบบมาใช้เพื่อส่งเสริมการเปิดประเทศให้กว้างมากยิ่งขึ้น
จีนได้กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศและภูมิภาคมากกว่า 140 ประเทศ ในปี 2566 จีนมีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวม 5.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยังคงสถานะเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการค้าสินค้าโลกเป็นเวลา 7 ปีติดต่อกัน ในปี 2566 จีนได้ลงทุนโดยตรงในต่างประเทศถึง 147.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะเดียวกัน ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนอยู่ที่ 163.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำนวนบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น 39.7% ซึ่งสะท้อนถึงความกระตือรือร้นของบริษัทต่างๆ จากทั่วโลกที่จะลงทุนในจีน โดยเป็นผลจากการเปิดตลาดเสรีด้านการลงทุนในประเทศจีนและการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดี
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้จัดตั้งเขตนำร่องการค้าเสรีภายในประเทศ 22 แห่ง และเขตการค้าเสรีเกาะไห่หนาน มาตรฐานระดับสูงสอดคล้องกับกฎกติกาการค้าเสรีระหว่างประเทศ การจัดการรายการเชิงลบของการเข้าถึงการลงทุนจากต่างประเทศได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ ข้อจำกัดในการเข้าถึงการลงทุนจากต่างประเทศในภาคการผลิตได้ถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง และเร่งการเปิดกว้างของอุตสาหกรรมบริการ
ปกป้องระบบการค้าเสรีทั่วโลกอย่างแข็งขัน และมีส่วนร่วมในข้อตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาค ทวิภาคี และพหุภาคี จีนได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี 22 ฉบับกับ 29 ประเทศและภูมิภาค ลงนามเอกสารความร่วมมือในโครงการ ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ กับกว่า 150 ประเทศและ 30กว่าองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างประเทศที่กว้างขวางและใหญ่ที่สุดในโลก
การจัดงานมหกรรมสินค้านำเข้าของจีน งานแสดงสินค้าต่างๆ จัดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่การจัดงานพิเศษในประเทศของตนเพื่อขยายการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนั้นแทบจะไม่มีเลยในโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปิดกว้างและความจริงใจของจีนในการเปิดใจรับโลกภายนอกและแบ่งปันโอกาสในการพัฒนาด้วย งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติเซี่ยงไฮ้หรืองาน Shanghai International Import Expo ประสบความสำเร็จมาแล้วถึง 6 ครั้ง โดยมีบริษัทหลายพันแห่งเข้าร่วมในแต่ละครั้ง และมีปริมาณธุรกรรมมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์
ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างจีนและต่างประเทศอย่างจริงจัง จีนมีข้อตกลงยกเว้นวีซ่าซึ่งครอบคลุมหนังสือเดินทางประเภทต่างๆ กับ 157 ประเทศ ในจำนวนนี้จีนได้รับการยกเว้นวีซ่าอย่างครอบคลุมกับ 23 ประเทศ ปัจจุบันมีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 490,000 คนจาก 196 ประเทศและภูมิภาคที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศจีน มีการประชุมวิชาการระดับนานาชาติเกือบ 400 ครั้งจัดขึ้นที่ประเทศจีนทุกปี ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนจีนมีจำนวนถึง 13 ล้านคน
4. การพัฒนาของจีนมีส่วนทำให้เกิดสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของโลก
กระบวนการพัฒนาของประวัติศาสตร์มนุษยชาติอยู่ท่ามกลางความพลิกผันอยู่เสมอ หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น โลกได้เข้าสู่กระบวนการทางประวัติศาสตร์ของความเป็นพหุขั้วและโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเทศได้รับประโยชน์จากสันติภาพและการพัฒนา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์โลกเลวร้ายลงอย่างมาก และการพัฒนาอย่างสันติต้องเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรง วิกฤตยูเครนและความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอลได้ปกคลุมโลกด้วยควันแห่งสงครามอีกครั้ง ลัทธิเอกภาคีนิยมและลัทธิกีดกันทางการค้าแพร่หลายไปทั่ว
และเสียงโห่ร้อง ‘การตัดขาดจากกัน’ และ ‘การทำลายความเชื่อมโยง’ทุกรูปแบบ ได้ก่อให้เกิดการหยุดชะงักอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก การทำงานร่วมกันและความร่วมมือในตลาดระหว่างประเทศได้รับการแทรกแซง นอกจากนี้ ปัญหาเชิงปฏิบัติใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความปลอดภัยทางชีวภาพ ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเราอย่างเด่นชัดเช่นกัน
สถานการณ์ระหว่างประเทศสับสนวุ่นวายและซับซ้อน โลกควรไปในทิศทางไหน? ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เสนอแนวคิดที่สำคัญของการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติในปี 2556 โดยกล่าวว่าทุกประเทศในโลกอยู่บนเรือลำใหม่ที่มีชะตาร่วมกัน มีเพียงการทำงานร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้นที่จะสามารถผ่านพ้นคลื่นพายุและแล่นไปสู่อนาคตที่สดใสได้
นี่คือ คำตอบของผู้นำระดับสูงของจีนต่อคำถามของโลกและยุคสมัย จีนยึดมั่นในการพัฒนาอย่างสันติและสนับสนุนการเคารพซึ่งกันและกันและความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จีนต่อต้านลัทธิเอกภาคีนิยมและการเมืองยึดถืออำนาจเป็นใหญ่ และสนับสนุนให้ละทิ้งแนวคิดแบบสงครามเย็นและการเผชิญหน้ากัน และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นประชาธิปไตย
นี่คือ สิ่งที่จีนพูดและสิ่งที่จีนทำ เราค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาประเด็นร้อนที่มีลักษณะเฉพาะของจีนอย่างแข็งขัน สนับสนุนบทบาทหลักของสหประชาชาติอย่างแข็งขันในการรักษาสันติภาพโลกและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก และมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการยุติวิกฤตยูเครนและปาเลสไตน์ -ความขัดแย้งของอิสราเอลด้วยวิธีทางการเมืองและการส่งเสริมการปรองดองระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ไกล่เกลี่ยให้มีการหยุดยิงในภาคเหนือของเมียนมาร์
จีนสนับสนุนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม แบ่งปันโอกาสและประโยชน์จากการพัฒนาและการเปิดกว้างของจีนเอง ทั้งยังต่อต้าน ‘การตัดขาดจากกัน’ และ’การทำลายความเชื่อมโยง’รวมถึงมาตรการเลวร้ายอื่นๆ ที่ขัดขวางระเบียบของตลาดระหว่างประเทศและเป็นอันตรายต่อการพัฒนาโลก จีนรักษาอัตราการมีส่วนช่วยเศรษฐกิจโลกเติบโตมากกว่า 30% เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน และจะเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการพัฒนาโลก
5. ความร่วมมือจีน-ไทยมีอนาคตที่สดใส
จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย เป็นแหล่งลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญที่สุด และเป็นตลาดแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุด ในปี 2566 ปริมาณการค้าระหว่างจีนและไทยจะมีมูลค่า 126.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่จะรองรับการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยถึง 42%
การลงทุนโดยตรงของบริษัทจีนในประเทศไทยมีมูลค่าถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 109% เมื่อเทียบเป็นรายปี การลงทุนในรถยนต์พลังงานใหม่และเทคโนโลยีดิจิทัลมีความสอดคล้องอย่างมากต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่ของประเทศไทย การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินมายังประเทศไทยกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีจำนวนถึง 2.5 ล้านคนในปีนี้ ความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันจะเป็นแรงผลักดันที่แข็งแกร่งในการส่งเสริมการพัฒนาประเทศและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
ปีนี้ ถือเป็นวาระครบรอบ 75 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน และเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ปีหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทยอยู่ ณ จุดเริ่มต้นใหม่ในประวัติศาสตร์ ภายใต้สถานการณ์โลกที่ซับซ้อนและรุนแรงในปัจจุบัน จีนและไทยจำเป็นต้องเสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันทางการเมือง และสามารถเป็นที่พึ่งพากันได้ในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเสถียรภาพของชาติ
เมื่อเผชิญกับปัจจัยระหว่างประเทศและภูมิภาคที่ซับซ้อน จีนและไทยจำเป็นต้องขจัดการแทรกแซงและอิทธิพลจากด้านอื่นๆ กระชับความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันอย่างแข็งขัน ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสันติภาพและการพัฒนาในภูมิภาค และบรรลุความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
เรายินดีที่จะทำงานร่วมกับเพื่อนมิตรจากทุกสาขาอาชีพในประเทศไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างจีนและไทย และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่’จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ ในยุคใหม่ ตามเป้าหมายในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับจีนและไทยที่กำหนดโดยผู้นำและรัฐบาลของทั้งสองประเทศ