- Details
- Category: ASAIN
- Published: Sunday, 08 May 2016 20:17
- Hits: 9434
ธุรกิจไทย พร้อมรับการแข่งขันเปิดเออีซี 'ดีลอยท์' พบทำแผนรุกขยายธุรกิจก่อนเปิดอย่างเป็นทางการ
บ้านเมือง : ดีลอยท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม โอกาสและความท้าทายจากการเปิดเออีซี โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำของประเทศไทยและบริษัทข้ามชาติในหลายอุตสาหกรรม พบเอกชนขยายธุรกิจไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ก่อนที่จะเปิดเออีซี และการเปิดเออีซียังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
ดร.สหนนท์ ตั้งเบญจสิริกุล รองผู้อำนวยการ และ ดร.วีระชัย วิวัฒน์ชาญกิจ (ที่ปรึกษาอาวุโส) บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด ได้ทำการศึกษา และนำเสนอข้อเท็จจริงและมุมมองเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม โอกาสและความท้าทายที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในประเทศไทยและสมาชิกอาเซียนอื่นอีก 9 ประเทศ หลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2558
โดยข้อสรุปจากบทความเหล่านั้นที่คล้ายคลึงกัน คือรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนได้ดำเนินการนโยบายลดมาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุน ตลอดจนส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงถึงการเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดเออีซี
ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 ดีลอยท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม โอกาสและความท้าทายจากการเปิดเออีซี โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำของประเทศไทยและบริษัทข้ามชาติในหลายอุตสาหกรรม อาทิ ยานยนต์ การเงินการธนาคาร พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นผู้ให้ข้อมูลจากการสอบถามเรื่องการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ เออีซี ร้อยละ 80 ของผู้บริหารที่ให้ข้อมูล ยอมรับว่าได้ทำการขยายธุรกิจไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ก่อนที่จะเปิด เออีซี แต่ผู้บริหารเหล่านี้มองว่าเออีซียังไม่ส่งผลกระทบต่อตัวธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
ถึงแม้ว่า ร้อยละ 76 ของผู้บริหารมองว่า เออีซีคือ โอกาสในการขยายธุรกิจ แต่คาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทหลังจากการเปิดเออีซีจะเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 20 โดยผู้บริหารส่วนใหญ่เห็นว่าการเปิดเออีซีจะสร้างสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ๆ และจะช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันในหลายด้าน โดยด้านที่ได้คะแนนสูงสุดได้แก่ การเข้าถึงตลาดผู้บริโภคที่ขนาดใหญ่ขึ้น
อันดับที่ 2 คือ การลดต้นทุน ตามด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมและการสร้างความแตกต่างในตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 3 เท่ากัน จะเห็นว่าปัจจัยที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันหลายด้านที่ผู้บริหารเลือกนั้น อาจไม่ได้เป็นการเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจโดยตรง แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไรในการทำธุรกิจ รวมถึงช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากภายนอกกลุ่มเออีซีให้เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว ผลวิจัยยังสะท้อนมุมมองผู้บริหารเกี่ยวกับการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ในภูมิภาคนี้ ในภาพรวมผู้บริหารจะขยายธุรกิจแบบระมัดระวัง ไม่ลงทุนแบบสุ่มเสี่ยง โดยวิธีที่ถูกใช้มากที่สุด คือ การร่วมทุนกับผู้ประกอบการในท้องถิ่น ซึ่งวิธีการดังกล่าวช่วยลดอุปสรรคในเรื่องการบุกเบิกตลาดและการสื่อสารกับคนท้องถิ่น รวมถึงลดความยุ่งยากในการติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลวิธีการที่นิยมใช้รองลงมาคือการตั้งบริษัทลูก ในประเทศที่เข้าไปลงทุน ซึ่งการบริหารจัดการบริษัทลูกจะทำได้ง่ายและคล่องตัว
ลำดับที่สาม คือ การส่งออกและนำเข้าสินค้ากับคู่ค้าต่างประเทศซึ่งวิธีการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า 2 วิธีแรก และผู้ประกอบการยังมีโอกาสทดสอบตลาดก่อนเข้าไปลงทุนจริง
สำหรับ ประเด็นเรื่องการลงทุนระหว่างประเทศ (FDI) ผู้บริหารได้แสดงความเห็นว่า ประเทศที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นลำดับต้นๆ หลังจากเปิดเออีซีได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย เหตุผลที่ทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนมากกว่าประเทศไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากที่ประเทศไทยประสบปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน
ทั้งนี้ ผู้บริหารบางส่วนมองว่าประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region) โดยสามารถใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อขยายการลงทุน และการร่วมทุนกับผู้ประกอบการในประเทศที่เข้าไปลงทุน ซึ่งมีข้อได้เปรียบคือประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคนี้จะมีขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน และสินค้าของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ และยังสอดคล้องกับข้อคำถามที่ดีลอยท์ถามผู้บริหารว่า มีประเทศใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดภายหลังจากการเปิดเออีซี
ซึ่ง 3 อันดับแรกในมุมมองผู้บริหาร ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย โดยมีเมียนมาตามมาในอันดับที่ 4 คำตอบจากผู้บริหารช่วยสะท้อนว่า ภาครัฐบาลของไทยมีนโยบายที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนที่ออกไปต่อสู้ในสนามแข่งขันระดับเออีซี และร้อยละ 68 ของผู้บริหารเชื่อมั่น ว่า ประเทศสมาชิกเออีซีจะร่วมมือกันผลักดันให้เกิดประชาคมเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ได้
ผู้บริหารส่วนใหญ่คาดหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องจนไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบโดยยอมรับว่าต้องเผชิญความท้าทายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับธุรกิจ ในส่วนของความท้าทายระดับภูมิภาคนั้น ปัจจัยที่ผู้บริหารมีความเป็นห่วงมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศในภูมิภาคนี้
สำหรับ ความท้าทายระดับธุรกิจ ปัจจัยที่ผู้บริหารมองว่ามีความสำคัญ 3 อันดับแรก คือ กฎระเบียบของประเทศที่เข้าไปลงทุน กำลังซื้อของผู้บริโภค และมาตรการจูงใจด้านภาษีและการลงทุนความท้าทายเหล่านี้ เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางทรัพยากรและความพร้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิกเออีซี รวมถึงความแตกต่างในเรื่องความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในภูมิภาคนี้ด้วย
ในภาพรวมผู้บริหารมีมุมมองว่า การเปิดเออีซีจะนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ ซึ่งมีความเป็นพลวัตและให้ประโยชน์กับภาคธุรกิจมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มุมมองจากผู้บริหารเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการขยายการธุรกิจและการแสวงหาตลาดใหม่ๆ สำหรับผู้ผลิตอุตสาหกรรมและผู้ให้บริการ ในท้ายที่สุดการวิจัยนี้ได้ให้ข้อสรุปว่า การเปิดเออีซีทำให้ประเทศสมาชิกต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและลดความเหลือมล้ำทางเศรษฐกิจ รวมถึงขจัดอุปสรรคด้านต่างๆ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2568