บล. เมย์แบงก์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 23-3-2022
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 23 มีนาคม 2565
ฟื้นตัว : รัฐฯช่วยเหลือค่าครองชีพ
SINGER
ระยะสั้นรับจิตวิทยาบวกจากมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐฯ หนุนกำลังซื้อสูงขึ้น ผสานแนวโน้มกำไร 1Q65 คาดเติบโตได้ทั้ง QoQ, YoY จากยอดขายที่ขยายตัว และมีเดินหน้าต่อเนื่องในช่วง 2Q65 อีกทั้งช่วง 3Q65จะ Spin off บริษัทลูก ซึ่งคาดจะช่วยปลดล็อค Value เพิ่มเติม
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 54 บาท
KCE
ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาตอบรับปัญหาเรื่องเครื่องจักรที่อยู่ในช่วงแรกของการขยายกำลังผลิต ซึ่งถือว่าราคาหุ้นตอบรับปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว ในขณะที่คำสั่งซื้อยังมีอยู่ค่อนข้างมาก ผสานกับทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง คาดยังเป็นจุดที่น่าทยอยสะสมเพื่อตอบรับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงถัดไป
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 70 บาท
INVESTMENT THEME
10 มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ : วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้ออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน โดยมีทั้งสิ้น 10 มาตรการ ซึ่งจะใช้ในช่วง พ.ค.-ก.ค. 65 ดังนี้ 1) เงินช่วยเหลือก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มจาก 45 บาท เป็น 100 บาทต่อเดือน 2) ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาท แก่หาบเร่ แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ 3) ลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์สำหรับผู้ขับขึ่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง 250 บาทต่อเดือน 4) คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV 15.59 บาท/กก. 5) ผู้ขับ Taxi Meter โครงการลมหายใจเดียวกัน ซื้อก๊าซราคา 13.62 บาท/กก. 6) ลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน โดยลด FT 22 สตางค์ต่อหน่วย (พ.ค.-ส.ค.) 7) ตรึ่งราคาขายปลีกดีเซล 30 บาทต่อลิตร จนสิ้นเดือน เม.ย.65 8) ใช้
กองทุนน้ำมันช่วงลดผลกระทบของราคาก๊าซหุงต้ม ช่วง เม.ย.-มิ.ย. 9) ลดอัตราสมทบนายจ้างและลูกจ้างในระบบประกันสังคม มาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% 10) ลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 1.9% และสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ปรับลดลงเหลือ 42-180 บาทต่อเดือน
โดยสรุปคาดเป็น Slightly Positive ในระยะสั้น โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ ค้าปลีก จากกำลังซื้อที่จะสูงขึ้น และ ไฟแนนซ์ ที่เน้นกลุ่มฐานราก ลดความเสี่ยงด้าน NPLs แนะสะสม SINGER, CPALL ส่วนกลุ่มที่อาจกระทบเชิงลบ เช่นกลุ่มปั๊มน้ำมัน (OR PTG)
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่ง Sideways มีแรงขายกลุ่มธนาคาร หลัง S&P ลดเรตติ้ง โดย SET ปิดที่ 1,677.87 (+4.00 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.1 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.3 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 3,621 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 3,766 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติ Long Index Future 1,123 สัญญา)
EYES ON
23 มี.ค. ยอดขายบ้านใหม่ US, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซน
24 มี.ค. ส่งออกไทย, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน US
25 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่น US
Thailand Property
อุปสรรคเพิ่มขึ้นจนอาจไปไม่ถึงดวงดาว
NEUTRAL
ลดคำแนะนำ “เท่าตลาด” เลือก LH หุ้นเด่น
เราจึงลดน้ำหนักจาก POSITIVE เป็น NEUTRAL มุมมองแนวโน้มมหภาคได้เปลี่ยนไปโดยอัตราเงินเฟ้อ/พลังงานที่สูงขึ้นมากส่งผลต่อต้นทุน และค่าครองชีพของประชาชน ขณะที่เราเห็นการทยอยปรับลดการเติบโต GDP ทำให้ตลาดอสังหาฯ เริ่มลำบากขึ้น เหตุนี้เป้าหมายทางธุรกิจที่ได้วางไว้อย่างสวยหรูในช่วงต้นปีหลังเห็นการผ่อนคลายมาตรการรัฐและผลประกอบการที่เป็นบวกอาจมีอุปสรรค ในระยะสั้นยอดขายล่วงหน้า YTD ที่ดีและ DPS สำหรับ 2H64 (XD สิ้นเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม) จะยังคงหนุนราคาหุ้น อย่างไรก็ดีระยะถัดไปอาจมีดาวน์ไซด์มากขึ้น เรายังคง เลือก LH เป็นหุ้นเด่นเนื่องจากมีแนวโน้มฟื้นตัวดีในทุกธุรกิจในปีนี้
สรุปภาพรวม 4Q64 และ 2564
รายได้/กำไรไตรมาส 4/64 ฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ QoQ ที่ 32.5%/58.4% โดยรายได้และกำไรของภาคอสังหาฯ ปี 2564 เติบโตประมาณ 9-10% YoY ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับการเติบโตของยอดขายล่วงหน้ารวมกันที่ 6.5% YoY อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ 33% ในปี 63-64 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 17% ในปี 63-64 ลดลงจากระดับก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 20-21% บริษัทที่ทำได้ดีที่สุดในปี 64 ในแง่การเติบโตของรายได้และกำไร คือ SPALI (+42%/+66% YoY) สาเหตุหลักมาจากการบันทึกรายได้จากคอนโดมิเนียมที่มีอัตรากำไรสูง 3 โครงการ รวมยอดขายล่วงหน้าปี 2564 จากนักพัฒนาอสังหาฯ 5 รายที่เราศึกษาอยู่ที่ 1.207 แสน ลบ. (+6.5% YoY) แม้ว่ามูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่จะลดลง 23%
เป้าหมายปี 65 ยังท้าทาย
ในช่วงต้นปีนี้ ผู้พัฒนาอสังหาฯ ท็อป 5 ที่เราศึกษาตั้งเป้ายอดขายล่วงหน้ารวมเติบโต 24% YoY แตะ 1.49 แสน ลบ.จากโครงการเปิดใหม่รวมมูลค่า 1.73 แสน ลบ. (+91% YoY) เป้าหมายเชิงบวกในปี 65 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของบริษัทอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า GDP จะฟื้นตัว การผ่อนคลาย LTV เป็น 100% และความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นหลังเปิดประเทศ ทั้งนี้ นับตั้งแต่โควิด-19 ระบาด ยอดขายอสังหาแนวราบเพิ่มขึ้น 12-14% ต่อปีในปี 63-65 ขณะที่ ยอดขายคอนโดมิเนียมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสองเท่า YoY หลังจากหดตัวมาเป็นเวลาสามปีติดต่อกัน แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายดังกล่าว น่าจะพิชิตได้ยาก
ความเสี่ยงทวีความรุนแรงขึ้น
แนวโน้มระดับมหภาคเปลี่ยนไปจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าคาด และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น การปรับลดคาดการณ์จีดีพีและค่าครองชีพที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการขายอสังหาริมทรัพย์ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงก็จะกระทบกำไรเช่นกัน ดังนั้นเป้าหมายปี 65 ของนักพัฒนาส่วนใหญ่จึงน่าจะพลาดเป้า นอกจากนี้ ยังมีดาวน์ไซด์ต่อประมาณการการเติบโตของรายได้/กำไรรวมที่ประเมินไว้ที่ 12%/9% YoY เราแนะนำ ซื้อ LH และ QH ถือ AP และ SPALI และ ขาย FPT และ PSH
Frasers Property Thailand (FPT TB)
PE แพงสุดในกลุ่มอสังหาฯที่เราดูแล
SELL
Share Price THB 15.20
12 m Price Target THB 13.00 (-14%)
Previous Price Target THB 12.00
ลดคำแนะนำเป็น ขาย TP ใหม่ 13.0 บาท
ในบรรดา 3 ธุรกิจที่มีอยู่ ธุรกิจที่อยู่อาศัยยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมยังคงไปได้เรื่อยแต่พื้นที่เช่าใหม่ส่วนใหญ่จะเข้ามาในช่วงปลายไตรมาส 4/65 ซึ่งตรงกับช่วงเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในเวียดนาม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์/ธุรกิจการโรงแรมค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง การปรับขึ้นของราคาหุ้น YTD ส่งผลให้ PE ปี 65 เพิ่มขึ้นแตะ 18 เท่า ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาหุ้นอสังหาที่เราดูแล เราจึงลดคำแนะนำเป็น ขาย ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 13.0 บาท หลังจากปรับประมาณการกำไรและมูลค่าสินทรัพย์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เราชอบ LH ซึ่งเป็นนักพัฒนาที่มีความหลากหลายและเป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม ซื้อขายบน PE ปี 65 ที่ 13 เท่า ซึ่งถูกกว่า
ธุรกิจที่อยู่อาศัยยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
ยอดขายล่วงหน้า 1QFY65 อ่อนตัวลงเป็น 6.2 พัน ลบ. แย่ที่สุดในรอบ 10 ไตรมาสที่ผ่านมา ยอดขายล่วงหน้าในเดือน ม.ค.-ก.พ.65 ก็ซบเซา ไม่ถึง 2 พัน ลบ.ต่อเดือน ส่วนรายได้ที่อยู่อาศัยและอัตรากำไรขั้นต้นดีดตัวขึ้น QoQ จากฐานที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ใน 4QFY64 แต่ก็ยังไม่กลับมาอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้ รายได้ที่อยู่อาศัย 2.74 พัน ลบ.ใน 1QFY65 คิดเป็นเพียง 21% ของเป้าทั้งปีที่ 1.3 หมื่น ลบ. (+14% YoY) อัตราการปฏิเสธ/การยกเลิกที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมยังคงเป็นแรงกดดันต่อธุรกิจที่อยู่อาศัย
คาดกำไรจากการขายทรัพย์สินเพื่ออุตสาหกรรมลดลง
อัตราการเข้าเช่าเฉลี่ยของอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 83% โดยพื้นที่เช่าใหม่ขนาด 22,000 ตรม แล้วเสร็จใน 1QFY65 คิดเป็น 12% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 182,000 ตรม. ธุรกิจส่วนใหญ่จะเกินในช่วงปลายปีไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เช่าเฟสแรกในนิคมอุตสาหกรรม Binh Duong ในเวียดนามมีกำหนดจะแล้วเสร็จภายใน 4QFY65 การขายที่ดินในนิคมเวียดนามและการขายสินทรัพย์เข้ากองรีทที่ 1.0-1.5 พัน ลบ. ลดลงจาก 2.0-2.5 พัน ลบ.ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ฟื้นตัวตามการเปิดเมือง
การเปิดประเทศในช่วงปลายปี 64 ช่วยผลักดันรายได้ค่าเช่า/บริการสำหรับ 1QFY65 เติบโตในอัตรา mid-teen rate ขณะที่อาคาร Mix-use แห่งใหม่ของ FPT สีลมเอดจ์ จะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือนกันยายน 65 ส่วน Marriott Mayfair executive apartment ที่ซื้อจาก GOLDPF ใน 1QFY65 และ FPT ได้รับผลกำไรจำนวน 381 ล้านบาทจากการเลิกกิจการของ GOLDPF
Vanida Geisler, CPA
(66) 2658 6300 ext 1394
Land & Houses (LH TB)
กำไรโต ปันผลดี
BUY
Share Price THB 9.30
12 m Price Target THB 10.80 (+16%)
Previous Price Target THB 10.60
คงแนะนำ ซื้อ อัพ TP ใหม่เป็น 10.8 บาท
เราคงแนะนำ ซื้อ LH เนื่องจากทุกธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ คาดกำไรเติบโต 22% YoY ในปี 2565 และ 10% YoY ในปี 2566 เรามองว่าครึ่งปีหลัง 65 จะเติบโตแข็งแกร่งจากหลายๆ ปัจจัยบวกในไตรมาส 3 ขณะที่ผลการดำเนินงานน่าจะสูงสุดในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ความเสี่ยง ได้แก่ แนวโน้มมหภาค อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และความล่าช้าในการเปิดตัวโครงการใหม่หรือโครงการเสร็จช้า ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 10.80 บาท สะท้อนการปรับประมาณการกำไรและมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
พรีเซลส์ เดือน ม.ค.- ก.พ. 2565 โตดี
ยอดขายล่วงหน้าในเดือนมกราคมปีนี้อยู่ที่ 3.2 พัน ลบ.และลดลงเหลือ 2.2-2.3 พัน ลบ.ในเดือนกุมภา เราประมาณการยอดขายล่วงหน้าในช่วงสองเดือนแรกที่ประมาณ 5.5 พัน ลบ. (+5% YoY) คิดเป็น 18% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 3.1 หมื่น ลบ. (+8% YoY) จากโครงการใหม่ที่วางแผนไว้ทั้งหมดมูลค่า 2.9 หมื่น ลบ. (+50% YoY) ประมาณ 1.9 หมื่น ลบ.หรือ 63% จะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง ซึ่งหมายความว่าโมเมนตัมจะยังคงแข็งแกร่งในทุกไตรมาสและสูงสุดในไตรมาส 4/65
เหตุการณ์สำคัญที่น่าจะเกิดขึ้นใน 3Q65
โครงการใหม่มูลค่า 1.1 หมื่น ลบ.ส่วนใหญ่มีแผนจะเปิดตัวในไตรมาส 3/65 ขณะเดียวกันก็จะเริ่มบันทึกรายได้จากคอนโดมิเนียม เดอะ คีย์ พระราม 3 มูลค่า 2 พัน ลบ. ส่วนศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พระราม 3 และโรงแรมแกรนด์เซ็นพอยน์สเปซ พัทยา จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ด้วย การขายสินทรัพย์ในสหรัฐก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นใน 3Q65 เช่นกัน
คาดธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักฟื้นตัวดีเช่นกัน
LH คาดว่าอัตราเข้าพักเฉลี่ย (OR) ของโรงแรมในพอร์ตจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 2565 จาก 25% ในปี 2564 ดังนั้น เราคาดว่ารายได้ค่าเช่า/บริการจะเพิ่มขึ้น 75% YoY เป็น 3.2 พัน ลบ.ในปีนี้ จาก 1.8 พัน ลบ.ในปี 2564 ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมอาจเพิ่มขึ้น 27% YoY เป็น 3 พัน ลบ. (ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโรคระบาดในช่วง 3 ปีที่ 3.3 พัน ลบ.) โดยได้แรงหนุนหลักจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในกำไรของ HMPRO และ QH อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักจะกลับสู่ระดับก่อนโควิดในปี 2567
Vanida Geisler, CPA
(66) 2658 6300 ext 1394
Supalai PCL (SPALI TB)
การเติบโตชะลออย่างมีนัยยะ
HOLD
Share Price THB 21.90
12 m Price Target THB 24.00 (+10%)
Previous Price Target THB 24.80
คงแนะนำ ถือ ลด TP เป็น 24 บาท
เราคงแนะนำ ถือ เนื่องจากคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวจากฐานที่สูงในปี 2564 ส่วนแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2565-67 นั้นไม่น่าตื่นเต้น เราปรับลดราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเป็น 24 บาท บน PE ปี 65 ที่ 8 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย 5 ปี หุ้นเด่นสำหรับภาคอสังหาฯ เราเลือก LH เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งจากทุกธุรกิจ
รายได้ กำไร อัตรากำไรขั้นต้นปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับปี 2564 รายได้แตะ 2.8 หมื่น ลบ. (+42% YoY) กำไร 7 พัน ลบ. (+66% YoY) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยอดขายคอนโดมิเนียม (50% ของรายได้ทั้งหมด) เพิ่มขึ้น 118% YoY ขณะที่ยอดขายอสังหาแนวราบเพิ่มขึ้น 7% อัตรากำไรขั้นต้น/สุทธิอยู่ที่ 40%/24% แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2557 เนื่องจาก 1) รายได้จากคอนโดมิเนียมที่มีอัตรากำไรสูง 4 โครงการ และ 2) อัตรา SG&A ต่อยอดขายลดลง 1ppt จากการเปิดโครงการน้อยในปีที่แล้ว
กำไรปี 65 ไม่น่าตื่นเต้นจากฐานสูงในปีที่แล้ว
SPALI คาดว่ารายรับปี 65 จะทรงตัวที่ 2.9 หมื่น ลบ. คิดเป็น 55% ของ Backlog หรือ 1.6 หมื่น ลบ. เราคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้น/สุทธิจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายอสังหาแนวราบที่มีอัตรากำไรต่ำ (55% ของรายได้ทั้งหมด) และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น (+61% YoY) นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนในออสเตรเลียมูลค่า 533 ลบ. (+155% YoY) มีแนวโน้มทรงตัวจากฐานที่สูงในปีที่แล้ว ยอดขายล่วงหน้าในเดือน ม.ค.-ก.พ.65 เติบโต 20% YoY จากการเปิดตัวโครงการใหม่ครั้งใหญ่มูลค่า 1.4 หมื่น ลบ. รวมถึงคอนโดมิเนียมใหม่มูลค่าโครงการ 3.2 พัน ลบ. (ขายแล้ว 12%) SPALI ตั้งเป้ายอดขายล่วงหน้าปี 65 ที่ 2.8 หมื่น ลบ. (+11% YoY) จากมูลค่าการเปิดโครงการใหม่ 4 หมื่น ลบ. (+61% YoY)
ประมาณการกำไรปี66-67 เติบโตเพียง3 %
จากกำไรที่สูงกว่าคาดการณ์ในปี 2564 ที่ 7 พัน ลบ. เราคาดว่ากำไรจะลดลง 9% ในปี 65 และประมาณ 3% ต่อปี ในปี 66-67 ความเสี่ยง ได้แก่ ต้นทุนพลังงาน/ค่าก่อสร้างและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ความต้องการขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของการเติบโตของ GDP ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น และกำลังซื้อ ส่วนแผนการขายต่อหุ้นทุนประมาณ 195 ล้านหุ้น (9% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 65 ถึง 9 ก.ค.66 ไม่น่าจะกดดันราคาหุ้น
Vanida Geisler, CPA
(66) 2658 6300 ext 1394
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ